- 04 ก.ย. 2568
หมอเจด เตือนผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ระวัง “ช็อกโกแลตซีสต์” โรคฮิตที่หลายคนไม่รู้ตัว เสี่ยงปวดท้องประจำเดือนรุนแรงและมีบุตรยาก
"หมอเจด" นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา ได้ออกมาโพสต์ข้อความระบุว่า
ช็อกโกแลตซีสต์ โรคฮิตในผู้หญิง
หลายคนเป็นแต่ไม่รู้ตัว !
1. ช็อกโกแลตซีสต์คืออะไร? ทำไมเรียกแบบนี้
เวลาพูดคำว่า “ช็อกโกแลตซีสต์” หลายคนอาจขำ ๆ คิดว่าเป็นโรคที่เกี่ยวกับของหวาน แต่จริง ๆ แล้วมันคือโรคที่เจอบ่อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ โดยเฉพาะช่วงอายุ 20–40 ปี
ชื่อจริง ๆ ทางหมอเรียกว่า Ovarian Endometrioma หรือ “ถุงน้ำในรังไข่จากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่” ฟังดูยาวและซับซ้อน
แต่เอาแบบง่าย ๆ คือ ปกติ เยื่อบุโพรงมดลูก ต้องอยู่เฉพาะในโพรงมดลูก เพื่อรอรับการฝังตัวของตัวอ่อน
แต่ในบางคน เยื่อบุนี้ดันไปอยู่ผิดที่ เช่น ไปเกาะบนรังไข่ ทีนี้เวลามีประจำเดือน มันก็ยังมีเลือดออกตามรอบเดือนเหมือนเดิม แต่เลือดพวกนี้ออกมาไม่ได้ เลยค้างสะสมจนกลายเป็น “ถุงน้ำ”
แล้วทำไมต้องเรียกว่า “ช็อกโกแลต”? เพราะเลือดที่ค้างอยู่นาน ๆ จะกลายเป็นของเหลวสีน้ำตาลเข้มข้น คล้ายช็อกโกแลตละลาย เวลาผ่าตัดออกมาเห็นแล้วเหมือนมาก จนหมอเรียกกันติดปากว่า “ช็อกโกแลตซีสต์” นั่นเอง
ปัญหาคือมันไม่ใช่ถุงน้ำธรรมดาที่ปล่อยไปเฉย ๆ ได้ ถ้าถุงน้ำโตขึ้นมาก ๆ จะไปเบียดรังไข่ ก่อให้เกิดพังผืด และอาจทำให้มีบุตรยากในอนาคต
2. เกิดจากอะไร ใครบ้างที่เสี่ยง
หลายคนงงว่า “ทำไมเราถึงเป็น แต่เพื่อนเราไม่เป็น?” ความจริงวงการแพทย์ก็ยังหาคำตอบที่แน่ชัดไม่ได้ แต่มีทฤษฎีที่อธิบายได้ดีที่สุดคือ Retrograde Menstruation หรือ “ประจำเดือนย้อนกลับ”
คือเวลาเป็นเมนส์ เลือดประจำเดือนบางส่วนไม่ได้ไหลออกมาหมด แต่ไหลย้อนเข้าไปในอุ้งเชิงกราน เซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกที่มากับเลือดนั้นไปเกาะตามอวัยวะ
เช่น รังไข่ แล้วดันยังทำงานตามฮอร์โมนเหมือนเดิม → ทุกเดือนก็ยังบวม หนาตัว และมีเลือดออก แต่พอไม่มีทางออก มันเลยกลายเป็นถุงน้ำในที่สุด
ใครบ้างที่เสี่ยงมากกว่าคนอื่น?
•ผู้หญิงที่มีเมนส์ตั้งแต่อายุน้อย
•รอบเดือนมาถี่ เช่น ทุก 21 วัน
•ประจำเดือนมามาก มานาน
•ยังไม่เคยตั้งครรภ์
•มีญาติพี่น้องผู้หญิงที่เคยเป็นโรคนี้
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่อาจเกี่ยว เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่สูงเกินไป หรือภูมิคุ้มกันทำงานไม่สมดุล
แต่ก็ไม่ได้แปลว่าถ้าเข้าเกณฑ์เหล่านี้จะต้องเป็นแน่นอน เพียงแค่ “เสี่ยงกว่า” เลยควรใส่ใจอาการตัวเองให้มากขึ้น
3. อาการที่ควรระวัง
อาการที่เจอบ่อยที่สุดคือ ปวดท้องประจำเดือนรุนแรงผิดปกติ หลายคนคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่จริง ๆ ถ้าปวดมากจนกระทบชีวิตประจำวัน ถือว่าไม่ปกติแล้ว
สัญญาณที่น่าสงสัย ได้แก่
•ปวดท้องเมนส์มากขึ้นเรื่อย ๆ ยาแก้ปวดเอาไม่อยู่
•ปวดท้องน้อยเรื้อรัง แม้ไม่มีประจำเดือน
•เจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะเวลาสอดใส่ลึก ๆ
•มีบุตรยาก เพราะรังไข่ทำงานผิดปกติ
•บางรายคลำเจอก้อนที่ท้องน้อย
สิ่งที่น่ากลัวคือ ผู้หญิงหลายคน “ชิน” กับการปวด จนคิดว่าเป็นเรื่องปกติ ปวดทุกเดือนก็ทน
กินยาลดปวดเอา แต่จริง ๆ มันอาจเป็นสัญญาณของช็อกโกแลตซีสต์ และถ้าปล่อยนาน ๆ อาจส่งผลต่อการมีลูกในอนาคตได้
4. การตรวจและการวินิจฉัย
วิธีตรวจชัดเจน เริ่มจากถามอาการประจำเดือน ความรุนแรง ความถี่
•จากนั้นจะทำ อัลตราซาวด์ทางช่องคลอด ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานที่แม่นยำ เห็นได้ว่ามีถุงน้ำหรือไม่
ถุงน้ำธรรมดาจะใส ๆ แต่ถ้าเป็นช็อกโกแลตซีสต์ จะเห็นเป็นถุงน้ำที่ขุ่น ข้างในดูเหมือนมีเลือดเก่า ๆ ติดอยู่
•บางเคสที่ซับซ้อน อาจต้องทำ MRI เพื่อดูละเอียดขึ้น โดยเฉพาะถ้ามีก้อนใหญ่ หรือสงสัยว่าไปเกาะอวัยวะอื่นด้วย
•ส่วนวิธีที่ยืนยันชัวร์ที่สุดคือ ผ่าตัดส่องกล้อง (Laparoscopy) หมอจะสอดกล้องเล็ก ๆ เข้าไปในช่องท้อง มองเห็นรังไข่โดยตรง แล้วสามารถตัดก้อนออกได้เลย
ที่อยากบอกคือ การตรวจพวกนี้ไม่ได้เจ็บหรืออันตรายอย่างที่หลายคนกลัว และยิ่งมาตรวจเร็ว ยิ่งมีทางเลือกการรักษาที่ง่ายและได้ผลดีกว่า
5. การรักษาและดูแลระยะยาว
การรักษามีหลายทาง เลือกตามอายุ ขนาดก้อน และแผนชีวิตของแต่ละคน เช่น ยังอยากมีลูกไหม ก้อนใหญ่แค่ไหน
1. การใช้ยาและฮอร์โมน
•ใช้ยาคุมกำเนิด หรือยาฮอร์โมนอื่น ๆ เพื่อกดไม่ให้เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญ
•เหมาะกับก้อนเล็ก หรือคนที่ยังไม่พร้อมผ่าตัด
1. การผ่าตัดส่องกล้อง
•เหมาะกับก้อนใหญ่กว่า 4–5 ซม. หรือมีอาการรุนแรง
•หมอจะตัดก้อนออกและเอาพังผืดออก ช่วยลดปวดและเพิ่มโอกาสมีลูก
•แต่ก็มีความเสี่ยง เช่น รังไข่อาจทำงานลดลงเล็กน้อยหลังผ่า
1. การรักษาภาวะมีบุตรยาก
•บางคนต้องใช้ IVF (เด็กหลอดแก้ว) ร่วมด้วย เพื่อช่วยให้มีลูก
การดูแลตัวเองหลังรักษา
•ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อช่วยปรับฮอร์โมน
•ลดอาหารที่ก่อการอักเสบ เช่น ของทอด ของหวานจัด
•เพิ่มอาหารที่ช่วยลดการอักเสบ เช่น ปลาแซลมอน ปลาทะเลน้ำลึก ถั่ว วอลนัท เมล็ดแฟลกซ์
เพราะมี โอเมก้า-3 (Omega-3) ซึ่งอาจช่วยลดการอักเสบในร่างกาย
และอาจช่วยบรรเทาอาการของเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ได้ หรือจะกินโอเมก้า 3 ก็ได้ แต่แนะนำลองปรึกษาหมอก่อนนะ
•พบหมอตามนัด เพราะโรคนี้กลับมาเป็นซ้ำได้
สิ่งที่อยากฝากคือ ถ้าตรวจเจอไม่ต้องกลัวนะ มันรักษาได้ ควบคุมได้ เพียงแค่ต้อง “ไม่ปล่อยผ่าน” และใส่ใจสัญญาณผิดปกติของร่างกาย
อย่าลืมดูแลตัวเองนะครับ ใครมีคำถามคอมเมนต์ไว้ได้เลยนะ






