ที่สุดของความประทับใจ! “อมตะรักแห่งแผ่นดิน”…กับ...“พระราชพิธีหมั้นในหลวง-ราชินี”…

ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://panyayan.tnews.co.th

“ความในพระราชหฤทัย” ที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีต่อหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์กิติยากรโดยทรงแย้มพรายให้เป็นที่ประจักษ์ในช่วงเวลาที่ประชวรจากอุปัทวเหตุครั้งนี้อยู่ในสายพระเนตรของ “ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย” คือสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์กับหม่อมเจ้านักขัตรมงคลมาโดยตลอด
ดังนั้น สมเด็จพระราชชนนีจึงรับสั่งขอให้หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์อยู่ศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยทรงมอบหมายให้สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาทรงเป็นผู้ปกครองและทรงรับเป็นธุระให้หม่อมราชวงศ์สาวได้เข้าศึกษาในโรงเรียนประจำRiante Rive ที่เมืองโลซานน์ซึ่งอยู่ใกล้กับพระตำหนักที่ประทับทั้งยังเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในการสอนวิชาพิเศษแก่กุลสตรีคือภาษาศิลปะดนตรีประวัติวรรณคดีและประวัติศาสตร์

หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์จึงศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ตามรับสั่ง พร้อมกับอยู่คอยถวายการปรนนิบัติพยาบาลพระอาการประชวรของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปด้วยในคราวเดียวกัน
นอกจากนี้ในระหว่างพำนักอยู่ที่เมืองโลซานน์หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ผู้เยาว์ชันษายังได้รับพระเมตตาจากสมเด็จพระราชชนนีและสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาในการประทานคำแนะนำนานาประการทั้งการแต่งกายการใช้น้ำหอมรวมถึงเครื่องประทินโฉมต่างๆตลอดจนการฝึกอบรมเกี่ยวกับธรรมเนียมปฏิบัติอันเหมาะสมและเรียนรู้ขนบประเพณีต่างๆโดยละเอียด (ซึ่งเป็นที่ทราบกันในขณะนั้นว่าเป็นการเตรียมความพร้อมสู่ฐานันดรศักดิ์แห่ง
“พระราชินี” ในอนาคต)
กระทั่งพระอาการประชวรของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคืนสู่ภาวะปกติหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์จึงกลับไปพำนักอยู่กับพระบิดา ซึ่งขณะนั้นหม่อมเจ้านักขัตรมงคลเสด็จฯ ย้ายไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทย ประจำสำนักเซนต์เจมส์ ณ กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๙๒

...สิริโฉมอันงามผุดผ่องทั่วสรรพางค์เพียบพร้อมด้วยลักษณะแห่ง “เบญจกัลยาณี” ท่วงท่ากิริยามารยาทที่ดูงามสง่าทว่าอ่อนหวานสมเป็นกุลสตรีไทยความแช่มช้อยในกิริยามารยาทและขี้อายในบางครั้งทว่าทุกคราที่แย้มยิ้มก็ราวกับจะพาให้โลกทั้งใบกระจ่างสดใสไปด้วย...

ที่สุดของความประทับใจ! “อมตะรักแห่งแผ่นดิน”…กับ...“พระราชพิธีหมั้นในหลวง-ราชินี”…

คุณลักษณะเหล่านี้ล้วนผสานกลมกลืนอยู่ในรูปโฉมของหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ กิติยากรก่อเกิดเป็นความงดงามอันเปี่ยมเสน่ห์ ที่ย่อมประทับตรึงตราอยู่ในหัวใจและความทรงจำของผู้คนที่ได้ยลไปแสนเนิ่นนานโดยมิอาจเลือนลืม
นอกจากรับสั่งของสมเด็จพระราชชนนีที่...ขอให้ไปทอดพระเนตรธิดาของหม่อมเจ้านักขัตรมงคลเพื่อให้ทรงพินิจว่า “สวยและน่ารักไหม” จะทำให้สมเด็จพระเจ้าอยู่ทรงตั้งใจทอดพระเนตรหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ “เป็นพิเศษ” ตามรับสั่งแล้ว... (โดยครั้งนั้นทรงสรุปเป็น “คำตอบ”แล้วว่า “น่ารักมาก”) ความ “เป็นพิเศษ” อีกประการหนึ่ง ที่ทำให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงต้องพระราชหฤทัยในหม่อมราชวงศ์หญิงผู้นี้ก็คือ “อัธยาศัยไมตรี” และ “ความสนใจ” ในสิ่งเดียวกันนั่นคือ “ดนตรี”
เพราะนอกจากหม่อมราชวงศ์สาวจะเป็นผู้สนใจเข้าใจในศิลปศาสตร์การดนตรีอย่างซาบซึ้งดุจเดียวกับพระองค์แล้ว คุณหญิงยังแสดงออกถึงภูมิความรู้ในแง่มุมต่างๆเกี่ยวกับดนตรีทั้งประวัติที่มาของบรรดาเพลงเอก ตลอดจนชีวประวัติของนักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียงของโลกได้อย่างถ่องแท้
“ภาษาดนตรี” จึงเป็นเสมือนสะพานแห่งไมตรีนำพา “หัวใจ” อันพิสุทธิ์สองดวงให้เชื่อมโยงสู่กันกับทั้งท่วงทำนองและกระแสเสียงอันไพเราะนี้ ก็ร้อยรัดพระราชสัมพันธ์ระหว่างสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ให้กระชับแน่นจนมิอาจแยกจากกันได้ตลอดชาติภพนี้

กล่าวได้ว่านอกจาก “รูปโฉมภายนอก” ที่ประจักษ์โดยสายพระเนตรแล้วยังมี “รูปโฉมภายใน” อันซ่อนลึกอยู่ภายในหัวใจดวงน้อยของหม่อมราชวงศ์สาวที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสัมผัสพบด้วยพระราชหฤทัยของพระองค์เองทำให้พระองค์ท่านทรงแน่พระทัยว่าสตรีที่จะเคียงข้างพระวรกายร่วม “ทุกข์-สุข” ไปกับพระองค์ท่านตราบชั่วพระชนม์ชีพก็คือ...หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ผู้นี้อย่างแน่นอน!

ดังนั้นเมื่อพระอาการประชวรทุเลาเป็นปกติในเดือนกรกฎาคมพ.ศ. ๒๔๙๒ นั้นเองสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯให้หม่อมเจ้านักขัตรมงคลกิติยากรและครอบครัวเข้าเฝ้าฯ ณ นครโลซานน์ประเทศสวิตเซอร์แลนด์และเพื่อมิให้เป็นข่าวเอิกเกริกได้ทรงกำหนดนัดให้ครอบครัว “กิติยากร” ประทับพำนักอยู่ที่โรงแรมวินเซอร์ซึ่งเป็นโรงแรมชั้นสูงแห่งหนึ่งในเมืองนั้นทั้งนี้หม่อมเจ้านักขัตรมงคลมีเวลาพักอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ ๓ วันคือวันที่ ๑๗ - ๑๙ กรกฎาคม ๒๔๙๒
ครั้นแล้วในวันที่ ๑๘ กรกฎาคมสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯไปพบหม่อมเจ้านักขัตรมงคล ณ โรงแรมที่พักและได้ทรงมีรับสั่งถึงเรื่อง “การหมั้น” กับหม่อมเจ้านักขัตรมงคลด้วยพระองค์เองหลังจากนั้นสมเด็จพระราชชนนีจึงเสด็จฯตามเข้าไปในตอนหนึ่งสมเด็จพระราชชนนีรับสั่งว่า
“ขอให้ทำกันเฉพาะในครอบครัวเท่านั้นเพราะเมื่อคราวฉันเองก็ทำอย่างนี้จะมีอะไรขัดข้องไหม?”
ซึ่งหม่อมเจ้านักขัตรมงคลทูลว่า“ตามแต่จะมีพระราชประสงค์”

ที่สุดของความประทับใจ! “อมตะรักแห่งแผ่นดิน”…กับ...“พระราชพิธีหมั้นในหลวง-ราชินี”…

 

เช่นนี้แล้วในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๔๙๒ ก่อนวันเกิดครบรอบ ๑๗ ปีของหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์เพียง ๒๔ วันพระราชพิธี “ทรงหมั้น” อย่างเงียบๆก็ถูกจัดขึ้นที่โรงแรมวินเซอร์นั้นเอง
คราวนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระธำมรงค์องค์หนึ่งแก่หม่อมเจ้านักขัตรมงคลเพื่อนำไปมอบให้กับหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ เป็นพระธำมรงค์เพชรซึ่งทำหนามเตยเป็นรูปหัวใจ และเป็นพระธำมรงค์องค์เดียวกับที่สมเด็จพระบรมราชชนกประทานแด่สมเด็จพระราชชนนี เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่ง “ความรักแท้” ของทั้งสองพระองค์
เกี่ยวกับ “พระธำมรงค์หมั้น” นี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชดำรัสเป็นการส่วนพระองค์กับหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์เป็นการล่วงหน้าแล้ว โดยพระองค์ท่านพระราชทานพระธำมรงค์ให้เลือกสององค์องค์หนึ่งนั้นเป็นพระธำมรงค์ของสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าซึ่งเป็นทับทิมประดับเพชรงดงามและอีกองค์หนึ่งคือพระธำมรงค์เพชรน้ำใสบริสุทธิ์เกาะไว้ด้วยหนามเตยเป็นรูปหัวใจซึ่งสมเด็จพระบรมราชชนกประทานแด่สมเด็จพระราชชนนีและเป็นเพชรที่มีขนาดเล็ก (ไม่ถึง ๒ กะรัต)
ซึ่งหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ขอรับพระราชทานพระธำมรงค์องค์ที่เป็น “สัญลักษณ์แห่งความรัก” ของสมเด็จพระชนกและสมเด็จพระชนนีด้วยความปลาบปลื้มและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณยิ่ง
ในเดือนสิงหาคมพุทธศักราช ๒๔๙๒ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินยังกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษเพื่อทรงร่วมงานวันเกิดครบรอบปีที่ ๑๗ ของหม่อมราชหญิงสิริกิติ์กิติยากรซึ่งเวียนมาถึงในวันที่ ๑๒ สิงหาคมปีนั้น
อีกทั้งยังอาจนับได้ว่าเป็นพิธี “ฉลองการหมั้น” ไปด้วยในคราวเดียวกัน
การเสด็จฯครั้งนี้มิได้ทรงแจ้งแก่ทางการอังกฤษให้รับทราบแต่อย่างใดเนื่องด้วยมีพระราชประสงค์จะเสด็จฯแบบ “ไปรเวต” (เป็น
การส่วนพระองค์) และให้ “เป็นการเฉพาะ” เท่านั้นทางรัฐบาลอังกฤษซึ่งไม่ทราบเรื่องจึงมิได้จัดพิธีต้อนรับเป็นทางการแต่อย่างใด
พิธีเนื่องในวันเกิดในคืนวันที่ ๑๒ สิงหาคมพ.ศ. ๒๔๙๒ เป็นไปด้วยความเรียบง่ายทว่า “อบอุ่น” ชวนให้ประทับใจยิ่งโดยจัดขึ้น ณ สถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงลอนดอนมีพระราชวงศ์ที่ไปร่วมด้วยคือพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์และสมเด็จพระนางเจ้าสุวัฒนา(สมเด็จพระนางเจ้าสุวัฒนาพระวรราชเทวีในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าอยู่หัวรัชกาลที่๖ พระราชชนนีในสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงเพชรรัตนราชสุดาสิริโสภาพรรณวดี) ด้วยขณะนั้นทั้งสองพระองค์ประทับอยู่ที่ตำหนัก ณ เมืองไบรตันประเทศอังกฤษ

นอกจากนี้ยังมีผู้คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าราชการสถานทูตรวมถึงนักเรียนไทยในอังกฤษและฝรั่งเศสไปร่วมชุมนุมอวยพรในงานประมาณ ๑๐๐ คนเศษ
ภายหลังจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงร่วมเสวยพระกระยาหารไทยเสร็จสิ้น พระองค์ท่านทรงชวนบรรดานักเรียนไทยให้ร่วมบรรเลงดนตรีเป็นที่สนุกสนานครื้นเครงยิ่ง โดยทรงมีพระราชดำรัสสนทนากับทุกคนอย่างสนิทสนมเป็นกันเอง
ค่ำคืนนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงงามสง่าอยู่ในฉลองพระองค์ชุดสีเทากับเนคไทสีน้ำเงินเข้ม ได้ทรงเปียโนและแซ็กโซโฟนพระราชทานแก่ทุกผู้คนที่มาร่วมในงานอย่างไพเราะเพราะพริ้ง
และ...ในโอกาสอันแสนพิเศษของสตรีผู้ซึ่งมีความ “พิเศษยิ่ง” นี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงอำนวยพระพรเนื่องในวันเกิดแด่หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์กิติยากรด้วยพระราชดำรัสอันไพเราะและคมคายโดยในท่ามกลางผู้ใกล้ชิดนั้นหม่อมเจ้านักขัตรมงคลได้นำ“สัญลักษณ์แห่งความรักแท้” ที่ทรงได้รับพระราชทานก่อนหน้านี้มาถวาย...
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งขณะนั้นพระชนมายุ ๒๑ พรรษาได้ทรงสวม “พระธำมรงค์หมั้น” แด่หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ด้วยพระองค์เองพร้อมกับมีรับสั่งว่า
“เป็นแหวนที่มีค่าอย่างยิ่งและเป็นของที่ระลึกด้วย”
นับเป็นค่ำคืนแห่งความทรงจำที่แสนประทับใจเหล่าผู้คนที่มาร่วมเป็นสักขีพยานอยู่ ณ ที่นั้นเป็นล้นพ้น

 

ที่สุดของความประทับใจ! “อมตะรักแห่งแผ่นดิน”…กับ...“พระราชพิธีหมั้นในหลวง-ราชินี”…

ที่สุดของความประทับใจ! “อมตะรักแห่งแผ่นดิน”…กับ...“พระราชพิธีหมั้นในหลวง-ราชินี”…

จากหนังสือเรื่อง อมตะ..แห่งรัก เรียบเรียงโดยสุวิสุทธิ์