- 20 ต.ค. 2559
รู้จริง...รู้แจ้ง...ทุกเรื่องราวแห่งพระอริยสงฆ์ http://panyayan.tnews.co.th
"พระโพธิสัตว์" คือใคร?
พระโพธิสัตว์คือ "ผู้ที่บำเพ็ญบารมีเพื่อจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล" โดยระหว่างที่บำเพ็ญบารมีเพื่อจะตรัสรู้นั้น พระโพธิสัตว์ต้องบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการ เรียกว่า "ทศบารมี" อันได้แก่
(๑) ทานบารมี (๒) ศีลบารมี (๓) เนกขัมมบารมี (๔) ปัญญาบารมี (๕) วิริยบารมี (๖) ขันติบารมี (๗) สัจจบารมี (๘) อธิษฐานบารมี (๙) เมตตาบารมี (๑๐) อุเบกขาบารมี
ในแต่ละบารมีนั้นแบ่งย่อยเป็น ๓ ขั้น ได้แก่
๑. บารมีขั้นต้น คือ การบำเพ็ญบารมีอันเนื่องด้วยวัตถุและทรัพย์สมบัตินอกกาย เช่น การสละทรัพย์เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นจัดเป็น "ทานบารมี" การรักษาศีลแม้ว่าจะต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทองจัดเป็น "ศีลบารมี" การยอมถือบวชโดยไม่อาลัยในทรัพย์สมบัติจัดเป็น "เนกขัมมบารมี"
๒. บารมีขั้นกลาง (อุปบารมี) คือ การบำเพ็ญบารมีอันเนื่องด้วยเลือดเนื้ออวัยวะ เช่น การสละเลือดเนื้ออวัยวะแก่ผู้อื่นจัดเป็น "ทานอุปบารมี" การใช้ปัญญารักษาเลือดเนื้ออวัยวะของผู้อื่นจัดเป็น "ปัญญาอุปบารมี" การมีความเพียรจนไม่อาลัยในเลือดเนื้ออวัยวะจัดเป็น "วิริยอุปบารมี" การมีเมตตาต่อผู้ที่จะมาทำร้ายเลือดเนื้ออวัยวะของตนจัดเป็น "เมตตาอุปบารมี" การมีความอดทนอดกลั้นต่อผู้ที่จะมาทำลายเลือดเนื้ออวัยวะของตนจัดเป็น "ขันติอุปบารมี"
๓. บารมีขั้นสูงสุด (ปรมัตถบารมี) คือ การบำเพ็ญบารมีอันเนื่องด้วยชีวิต เช่น การสละชีวิตเป็นทานแก่ผู้อื่นจัดเป็น "ทานปรมัตถบารมี" การยอมสละแม้ชีวิตเพื่อรักษาคำพูดจัดเป็น "สัจจปรมัตถบารมี" การตั้งจิตไม่หวั่นไหวต่อคำอธิษฐานแม้จะต้องเสียชีวิตจัดเป็น "อธิษฐานปรมัตถบารมี" การวางเฉยต่อผู้ที่จะมาทำร้ายชีวิตของตนจัดเป็น "อุเบกขาปรมัตถบารมี"
ดังนั้น ทศบารมีหรือบารมี ๑๐ หากกล่าวโดยละเอียดจึงรวมเป็น "บารมี ๓๐ ทัศ"
เมื่อพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีจนเที่ยงแท้แล้วจะเรียกว่า "นิยตโพธิสัตว์" คือพระโพธิสัตว์ผู้จะต้องตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน หากพระโพธิสัตว์ยังบำเพ็ญบารมีทั้ง ๑๐ ไม่มากพอที่จะตรัสรู้ จะเรียกว่า "อนิยตโพธิสัตว์" คือพระโพธิสัตว์ที่ไม่แน่ว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
นอกจากนี้ พระโพธิสัตว์ยังแบ่งได้อีก ๓ ประเภท คือ
๑. ปัญญาธิกโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้ปัญญาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด ๒๐ อสงไขย กับเศษแสนมหากัป คือ ตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา ๗ อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา ๙ อสงไขย รวมเป็น ๑๖ อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็นพระนิยตโพธิสัตว์เมื่อเหลือเวลาอีก ๔ อสงไขย กับเศษแสนมหากัป ซึ่งเป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้าจนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน
๒. สัทธาธิกโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้ศรัทธาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด ๔๐ อสงไขย กับเศษแสนมหากัป คือ ตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา ๑๔ อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา ๑๘ อสงไขย รวมเป็น ๓๒ อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็นพระนิยตโพธิสัตว์เมื่อเหลือเวลาอีก ๘ อสงไขย กับเศษแสนมหากัป ซึ่งเป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้าจนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน
๓. วิริยาธิกโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้วิริยะเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด ๘๐ อสงไขย กับเศษแสนมหากัป คือ ตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา ๒๘ อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา ๓๖ อสงไขย รวมเป็น ๖๔ อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็นพระนิยตโพธิสัตว์เมื่อเหลือเวลาอีก ๑๖ อสงไขย กับเศษแสนมหากัป ซึ่งเป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้าจนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน
สุเมธดาบสได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าทีปังกรว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า (องค์ปัจจุบัน) ในอนาคตกาล
ตั้งแต่ยังเป็นเด็กและเริ่มจำความได้ ทุกคนคงจะรับรู้เรื่องราวของพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชที่ทรงงานเพื่อปวงชนชาวไทยมาตลอด ซึ่งเป็นด้านหนึ่งของพระราชจริยาวัตรที่เราต่างก็ทราบกันดีอยู่แล้ว
แต่นอกเหนือจากนี้ เรายังสามารถสัมผัสกับมิติทางธรรมของพระองค์ท่านได้จากหนังสือธรรมะและคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์ท่านต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มิติที่สอดคล้องกับการบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการของพระโพธิสัตว์ อันเป็นคุณธรรมที่จะทำให้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ดังเช่นคำกล่าวของครูบาอาจารย์ต่อไปนี้
พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต (เจ้าคุณนรรัตนฯ) แห่งวัดเทพศิรินทราวาส กล่าวว่า
"ในหลวงพระองค์นี้ท่านเป็นพระโพธิสัตว์นะ!"
เจ้าคุณนรรัตนราชมานิต
นอกจากนี้ยังมีครูบาอาจารย์อีกหลายท่านที่กล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่าทรงเป็นพระโพธิสัตว์ เช่น หลวงปู่สิม พุทธาจาโร แห่งสำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า
"ครูบาขาวปี วัดพระพุทธบาทผาหนาม เคยเป็นช้างนาฬาคิริง ... ส่วนในหลวงองค์ปัจจุบันเป็นช้างป่าเลไลยก์นะ!" (ช้างป่าเลไลยก์คือพระโพธิสัตว์ผู้สร้างบารมีมาเป็นอันมากและจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล)
หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
เช่นเดียวกับหลวงปู่แหวน สุจิณโณ แห่งวัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่ ก็ได้กล่าวถึงน้ำพระทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า
"พระองค์มัวแต่เป็นห่วงคนอื่น แต่ไม่ทรงห่วงพระองค์เองบ้างเลย!"
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
ครูบาอาจารย์อีกท่านหนึ่งที่กล่าวถึงเรื่องนี้ก็คือ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย แห่งวัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งได้กล่าวว่า
"วันหนึ่งข้างหน้า ในหลวงจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งของโลก ... ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงปรารถนาพุทธภูมิ!"
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
อย่างไรก็ตาม คำกล่าวทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่ครูบาอาจารย์แต่ละท่านได้รู้ด้วย “ญาณวิถี” ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะตนของครูบาอาจารย์ แต่ถึงกระนั้น หากเราทราบว่าพระราชกรณียกิจต่าง ๆ ของพระเจ้าอยู่หัวมีความสอดคล้องกับการบำเพ็ญบารมีทั้ง ๑๐ ประการ อันเป็นคุณธรรมที่ทำให้พระโพธิสัตว์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เราก็อาจตัดสินใจเองได้ว่า...พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์จริงหรือไม่!!
ที่มา : หนังสือ "พุทธภูมิพล : ทศบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว", ผศ.ดนัย ปรีชาเพิ่มประสิทธิ์ และ คณิตา หอมทรัพย์