- 08 มี.ค. 2560
ติดตามเรื่องราวดีๆ ได้ที่ http://www.tnews.co.th
ถือว่าเป็นกรณีพิเศษ สำหรับการเสด็จฯ เยือนเมืองไทยเป็นการส่วนพระองค์ของสมเด็จพระจักรพรรดิและจักรพรรดินีญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ที่ผ่านมา จากที่ได้นำเสนอข่าวไปแล้ว ถึงเรื่องราวสายสัมพันธืที่มากกว่าการเมืองใน “การทูตหยุดโลก”
คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ “การทูตหยุดโลก ตอนที่1 ” และ “การทูตหยุดโลก ตอนที่ 2"
จากนั้นข้อความถวายอาลัย ได้มีการแชร์ออกไปอย่างมาก จากเฟสบุ๊ค “วสันต์ วณิชชากร” ซึ่งมีเนื้อหาว่า
พระจักรพรรดิญี่ปุ่น ลงนามถวายความอาลัยต่อในหลวงรัชการที่ ๙ ง่ายแต่ได้ใจความที่สุด
....The time has come for us to say sayonara.
サヨナラ
ทั้งนี้ ความหมายของคำ “ซาโยนาระ” ทางเว็บไซต์ http://www.j-everyday.com ได้อธิบายไว้ดังนี้ว่า
คำว่า “Sayōnara” แท้จริงแล้ว เป็นคำที่ย่อมาจาก Sayōnara (左様ならば・・・) หรือ Sōnaraneba naranunonara… (そうならねばならぬのなら・・・)
ซึ่งหากแปลตรงๆจะมีความหมายว่า “ในเมื่อถ้ามันต้องเป็นเช่นนั้น...” โดยความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดที่เหมือนการเกริ่นขึ้นต้นนี้ก็คือ “ผม / ฉันยังอยากอยู่คุณเช่นนี้ต่อไปอีกเรื่อยๆ แต่ในเมื่อถึงเวลาต้องบอกลาแล้วก็คงไม่มีทางเลือกอื่น (นอกจากแยกย้ายกัน)” หรือพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นคือ เป็นการแสดงความรู้สึกเสียดายที่ต้องแยกจากอีกฝ่าย อันเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของภาษาญี่ปุ่นที่มักไม่พูดแสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ และมักทิ้งท้ายให้เข้าใจกันเองด้วยการพูดละประโยคข้างท้าย ในขณะที่หากเทียบกับหลายภาษาในโลก ที่เวลาบอกลามักอวยพรให้อีกฝ่ายโชคดี อาทิเช่นภาษาอังกฤษที่ใช้คำว่า Good Bye ที่มีรากศัพท์มาจากคำว่า God be with you (ขอให้พระเจ้าอยู่กับท่าน)
โดยส่วนมาก คำว่า “Sayōnara” มักนิยมใช้ในกรณีที่คาดเดาแล้วว่าผู้พูดอาจไม่ได้พบหน้าคู่สนทนาอีกเป็นระยะเวลานาน (บางครั้งในคอร์สเรียนภาษาญี่ปุ่นจะสอนว่า ใช้ในกรณีที่จะไม่ได้พบกันอีกเลยชั่วชีวิต) ทว่าหากอยากตีความให้โรแมนติกอีกนิดคงต้องบอกว่า “แม้ยังไม่รู้ว่าเมื่อไร แต่ขอให้แน่ใจว่าเราจะได้กลับมาพบกันอีก”
พระจักรพรรดินี พระราชทานสัมภาษณ์ ตอบผู้สื่อข่าว “ในหลวง ร.9 เป็นดั่งพระเชษฐา”
หนังสือพิมพ์ “อาซาฮี-ชิมบุน” ของญี่ปุ่น รายงานว่า ในจดหมายที่สมเด็จพระจักรพรรดินี “มิชิโกะ” ทรงเขียนตอบคำถามสมาคมผู้สื่อข่าว ประจำสำนักพระราชวังของญี่ปุ่น เนื่องในวันพระราชสมภพ 82 พรรษา เมื่อวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา มีใจความส่วนหนึ่ง ที่พระองค์ทรงตรัสถึง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ว่า
“ในคืนวันที่ 13 ตุลาคม ข้าพเจ้าได้ทราบข่าวที่น่าเสียใจอย่างยิ่ง เกี่ยวกับการเสด็จสวรรคต ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระองค์มีพระชนมายุมากกว่าข้าพเจ้า 6-7 ปี และทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ดูแลข้าพเจ้ามาโดยตลอด ดุจดั่งพระเชษฐา นับตั้งแต่ที่ข้าพเจ้าอายุได้ราว 20 ปี”
ในส่วนของระยะเวลาแห่งสายสัมพันธ์อันงดงาม ของจักรพรรดิและจักพรรดินีกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช นั้น ทางเฟสบุ๊ค “japaninfo” ได้เล่าไว้ดังนี้
สมเด็จพระจักรพรรดิและจักรพรรดินีญี่ปุ่นทรงไว้ทุกข์เพื่อไว้อาลัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล
................................
สมเด็จพระจักรพรรดิและจักรพรรดินีทรงไว้อาลัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทยอย่างไม่เคยทรงปฏิบัติมาก่อน (แปลข่าว NHK ณ เวลา 15:36 น วันที่ 14 ตุลาคม 2016)
เมื่อบ่ายวันที่ 14 ตุลาคม สมเด็จพระจักรพรรดิและจักรพรรดินีทรงส่งนายคาวาอิ ราชเลขาธิการส่วนพระองค์ไปยังสถานทูตไทยประจำกรุงโตเกียว เพื่อถ่ายทอดความอาลัยต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทย การถ่ายทอดความอาลัยด้วยวิธีเช่นนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ในค่ำวันที่ 13 ที่ผ่านมา หลังจากทรงกล่าวอำลากับกษัตริย์เบลเยี่ยมและพระมเหสีที่เสด็จเยือนประเทศญี่ปุ่นในฐานะราชอาคันตุกะ ทั้งสองพระองค์ได้สดับฟังข่าวการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลฯ และจากความสัมพันธ์อันยาวนานกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ พระองค์จึงแสดงความประสงค์ที่จะไว้ทุกข์ให้แก่พระองค์ท่านรวมเป็นเวลา 3 วันจากค่ำวันที่ 13
และในวันที่ 14 ราว 13:40 น เศษ สองพระองค์ได้ส่งนายคาวาอิ ราชเลขาธิการประจำสำนักพระราชวังไปเพื่อถ่ายทอดความอาลัย โดยมีเอกอัครราชทูตไทยมาคอยรับที่หน้าประตูสถานทูตในเขตชินากาวากรุงโตเกียว นายคาวาอิราชเลขาธิการได้ก้าวไปที่โต๊ะสำหรับลงนามที่ทางสถานทูตจัดเตรียมไว้ด้านใน ก้มศรีษะต่ำต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์หนึ่งครั้ง ก่อนที่จะนั่งบนเก้าอี้เพื่อลงนามไว้อาลัย หลังจากนั้น ได้ลุกขึ้นก้มศรีษะคำนับอีกครั้ง และได้พูดคุยทักทายกับเอกอัครราชทูตสั้นๆก่อนที่จะเดินทางออกจากสถานทูตฯ
ในปี 1964 เมื่อครั้งที่สองพระองค์เสด็จไปเยือนประเทศไทยในฐานะตัวแทนของสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโต ทรงได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล นับแต่นั้นมา ทรงมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดต่อกันมาโดยตลอด
ในปี 1991 เมื่อพระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ ก็ได้เสด็จไปเยือนประเทศไทยเป็นประเทศแรกพร้อมประเทศอื่นรวม 3 ประเทศ
และในปี 2006 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงฉลองการครองราชย์ครบ 60 ปี ทั้งสองพระองค์ก็ได้เสด็จไปร่วมพิธีด้วยพระองค์เอง
เครดิตข่าว : เฟสบุ๊ค เพจ “japaninfo”
ข่าว : ไญยิกา เมืองจำนงค์ (ทีมข่าวปัญญาญาณ ทีนิวส์)