สมเด็จ ๖ แผ่นดิน... ผู้ผ่านความทุกข์โศกใหญ่หลวง จนได้รับการเล่าขานว่า มเหสีที่เศร้าที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย "สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า"

ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th

สมเด็จ ๖ แผ่นดิน... ผู้ผ่านความทุกข์โศกใหญ่หลวง จนได้รับการเล่าขานว่า มเหสีที่เศร้าที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย "สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า"

ณ วังสระปทุมพุทธศักราช ๒๔๙๓

               นับตั้งแต่ต้องทรงสูญเสียพระบรมราชสวามีคือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ไปเมื่อ ๔๐ ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. ๒๔๕๓) สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวีสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ก็ยิ่งทรงมีพระอากัปกิริยาที่เงียบขรึมและหม่นเศร้าลงยิ่งกว่าเดิมเป็นทบทวี

               ท่านผู้ใหญ่ฝ่ายในในขณะนั้นเล่าว่านับตั้งแต่เหตุการณ์ความสูญเสียคราวนั้นเป็นต้นมาสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวีสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าไม่ทรงแย้มสรวลเลยจนถึงกับมีผู้กล่าวว่าถ้าเห็นพระองค์ท่านทรงพระสรวลก็นับเป็นบุญยิ่งแล้ว

               กาลก่อนนั้นพระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าหญิงสว่างวัฒนา (พระนามเดิมเมื่อแรกประสูติ) ทรงมีพระอารมณ์รื่นเริงแจ่มใสช่างเล่นมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์และยิ่งเมื่อพระองค์เจริญพระชันษาเข้าสู่วัยดรุณีก็ทรงมีพระสิริโฉมงดงามยิ่งนักจนมีคำกล่าวว่าหน้าตาคมสันองค์สว่าง พูดจากระจัดกระจ่างองค์สุนันทา

               ทั้งยังทรงได้รับคำชมเชยจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตลอดจนคำชื่นชมของพระอาจารย์ผู้ถวายการสอนเสมอว่าทรงมีพระสติปัญญาฉลาดหลักแหลมและมีความจำเป็นเลิศด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงเป็น ผู้ช่วยในการปฏิบัติพระราชกิจต่างๆได้เป็นอย่างดีแม้ในภายหลังพระองค์จะได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาพระบรมราชเทวีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้วก็ตามพระองค์ก็ยังทรงถวายงานเพื่อช่วยแบ่งเบาพระราชกรณียกิจอยู่เช่นเคย

               แต่แล้วยิ่งนับวัน ความสูญเสียอันเปรียบเสมือนมรสุมใหญ่ที่ถาโถมเข้าสู่วิถีแห่งพระชนม์ชีพของพระองค์ท่านครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ยิ่งทำให้สตรีผู้สูงศักดิ์พระองค์นี้ทรงมีแววพระเนตรที่เปี่ยมด้วยรอยโศกเศร้าอาดูรมากขึ้นทุกที

                “ความสูญเสียที่ว่านี้เริ่มตั้งแต่เมื่อทรงมีพระครรภ์ก็ทรงตกพระโลหิตถึง ๒ ครั้ง ๒ ครากระทั่งภายหลังเมื่อทรงมีพระประสูติกาลพระราชโอรสและพระราชธิดาอีก ๘ พระองค์ ก็ทรงสูญเสียสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์แล้วพระองค์เล่าไปด้วยพระโรคต่างๆ กันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีพ.ศ. ๒๔๓๗ ที่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ

สมเด็จ ๖ แผ่นดิน... ผู้ผ่านความทุกข์โศกใหญ่หลวง จนได้รับการเล่าขานว่า มเหสีที่เศร้าที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย "สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า"

เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศพระราชโอรสองค์ใหญ่ซึ่งมีพระชนมายุ ๑๖ พรรษาทรงพระประชวรด้วยพระโรคไข้รากสาดน้อยและเสด็จสวรรคตลง

               ครั้งนั้นทันทีที่สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาทรงทราบก็ทรงล้มทั้งยืนไม่ได้พระสติสมประดีเมื่อรู้สึกพระองค์ก็ทรงพระกรรแสงอย่างรุนแรงไม่ทรงยอมเสด็จฯกลับพระตำหนักทรงกั้นพระฉากบรรทม ณ ที่ประดิษฐานพระศพพระราชโอรสนั้นเองทั้งพระองค์ยังไม่ยอมเสวยอยู่หลายมื้อกระทั่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงวิตกว่า สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาจะประชวรและเสด็จสู่สวรรคาลัยไปอีกพระองค์หนึ่ง จึงเสด็จมาทรงป้อนพระกระยาหารพระราชทานอย่างไรก็ตามพระอาการ ประชวรทางใจในครั้งนั้นก็ทำให้พระพลานามัยของพระองค์ทรุดลงอย่างรวดเร็ว

 

ต่อจากนั้นนับตั้งแต่พ.ศ.๒๔๔๑ ถึงพ.ศ. ๒๔๘๑ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าก็ทรงประสบความสูญเสียอีกหลายครั้งทั้งพระบรมราชสวามี และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธออีกสองพระองค์สุดท้าย๔ที่ทรงเหลืออยู่ก็ได้สิ้นพระชนม์ไปหมดสิ้น

               หลังจากนั้นสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวีพระพันวัสสามาตุจฉาเจ้า (พระอิสริยยศในขณะนั้น) ก็ยิ่งทรงเงียบขรึมลงเป็นลำดับนอกจากจะทรงพระดำรัสน้อยลงแล้ว รอยสรวลอันงดงามแจ่มใสก็ยิ่งแทบไม่ปรากฏให้ผู้ใดได้เห็นอีกนับแต่นั้น

สมเด็จ ๖ แผ่นดิน... ผู้ผ่านความทุกข์โศกใหญ่หลวง จนได้รับการเล่าขานว่า มเหสีที่เศร้าที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย "สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า"

               ล่วงเข้าสู่สมัยรัชกาลที่ ๘ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ สมเด็จฯพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าทรงปกครองดูแลผู้ที่อยู่ใต้ร่มพระบารมีซึ่งมีเป็นจำนวนมาก ณ พระตำหนักที่ประทับโดยไม่ทรงยินยอมอพยพหนีภัยสงครามไปยังที่ซึ่งรัฐบาลจัดถวายโดยทรงให้เหตุผลว่า

“…ฉันเป็นกุลเชษฐ์ยังมีลูกเลี้ยงมีน้องต้องหลบไปให้หมดไปไหนก็ต้องไปด้วยกัน…”

สมเด็จ ๖ แผ่นดิน... ผู้ผ่านความทุกข์โศกใหญ่หลวง จนได้รับการเล่าขานว่า มเหสีที่เศร้าที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย "สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า"

             อย่างไรก็ตาม ความสุขที่สุดที่พอจะทำให้ทรงมีรอยสรวลได้ในฐานะของ สมเด็จย่าพระองค์หนึ่งก็คือการได้รับ จดหมายจาก พระสุนิสาผู้ทรงพำนักอยู่ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์คือสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ที่ทรงเขียนบอกเล่าเรื่องราวและเหตุการณ์ต่างๆเกี่ยวกับ พระราชนัดดาทั้ง ๓ พระองค์ให้ทรงรับทราบอยู่เสมอมิได้ขาดและในบางครั้ง จดหมายที่ส่งมาจากแดนไกลก็มีลายพระหัตถ์โย้เย้อันเปี่ยมด้วย ความรักและคิดถึงของพระราชนัดดาทั้งสามพระองค์แนบมาถึง สมเด็จย่าให้ได้ทรง ยิ้มทั้งน้ำตาด้วยความซาบซึ้งในพระหฤทัย

               กระทั่งสงครามสิ้นสุดลง สมเด็จพระสุนิสาคือสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ (พระอิสริยยศในขณะนั้น) ได้พาพระราชนัดดาในพระองค์ท่านทั้ง ๓ พระองค์เสด็จฯนิวัตประเทศไทยเป็นครั้งแรก

                (นับจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ เสด็จขึ้นครองราชย์) เมื่อปีพ.ศ. ๒๔๘๑ ในครั้งนั้นจึงเป็นวาระอันพิเศษยิ่งที่เหล่าข้าราชบริพารมีโอกาสได้เห็นรอยพระสรวลแห่งความสุขของสมเด็จฯพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าอีกครั้ง

สมเด็จ ๖ แผ่นดิน... ผู้ผ่านความทุกข์โศกใหญ่หลวง จนได้รับการเล่าขานว่า มเหสีที่เศร้าที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย "สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า"

               แต่ก็นับเป็นช่วงเวลาแห่ง ความสุขที่แสนสั้นก่อนที่ ความทุกข์จะย้อนกลับมาเยือน สมเด็จย่าอีกครั้งในอีก ๘ ปีต่อมา และอาจนับเป็นความวิปโยคครั้งสุดท้ายในพระชนม์ชีพของพระองค์ก็ว่าได้ นั่นคือการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลเมื่อปีพ.ศ. ๒๔๘๙ ซึ่งขณะนั้นสมเด็จฯพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงมีพระชนมายุ ๘๔ พรรษา

สมเด็จ ๖ แผ่นดิน... ผู้ผ่านความทุกข์โศกใหญ่หลวง จนได้รับการเล่าขานว่า มเหสีที่เศร้าที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย "สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า"

สมเด็จ ๖ แผ่นดิน... ผู้ผ่านความทุกข์โศกใหญ่หลวง จนได้รับการเล่าขานว่า มเหสีที่เศร้าที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย "สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า"

               อย่างไรก็ตามมีข้อมูลบางแหล่งระบุว่าในวันที่ พระบรมราชนัดดาของพระองค์ท่านคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ เสด็จสวรรคตนั้นไม่มีผู้ใดกล้ากราบบังคมทูลพระองค์ท่านให้ทรงทราบถึงเหตุดังกล่าวกระทั่งในวันเชิญพระบรมศพลงพระโกศนั้นพระองค์ท่านได้เสด็จฯออกมาทางระเบียงและตรัสขึ้นมาว่า

สมเด็จ ๖ แผ่นดิน... ผู้ผ่านความทุกข์โศกใหญ่หลวง จนได้รับการเล่าขานว่า มเหสีที่เศร้าที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย "สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า"

วันนี้เป็นอะไรฟ้าเศร้าจริงนกสักตัวกาสักตัวก็ไม่มาร้องเศร้าเหลือเกินนี่ทำไมมันเงียบเชียบไปหมดอย่างนี้ล่ะ

               พระดำรัสดังกล่าวสร้างความเศร้าสะเทือนใจแก่เหล่าข้าราชบริพารที่เฝ้าฯ ถวายงานอยู่ ณ ที่นั้นเป็นอันมากบางคนถึงกับต้องหลบออกมาร้องไห้ เพราะเกรงจะเป็นพิรุธให้พระองค์ทรงทราบถึงเหตุการณ์วิปโยคที่เกิดขึ้น และด้วยไม่มีผู้ใดกล้ากราบบังคมทูลนี้เองสมเด็จฯพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าจึงทรงรำลึกอยู่เสมอว่าทรง มีหลานชาย ๒ คน

 

               ถึงแม้คุณงามความดีและพระเมตตาที่ทรงเผื่อแผ่ไปยังผู้อยู่ภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารรวมถึงข้าราชบริพารผู้ใกล้ชิดตลอดจนเหล่าราษฎรผู้ทุกข์ยากจะทำให้สมเด็จฯพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าทรงเป็นที่รักของผู้คนมากมายแต่ความทุกข์จากการสูญเสียครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ จะทำให้ทรงโศกเศร้าและอาดูรถึงวันวารแห่งความสุขมากมายสักเพียงใดหนอ?

             วันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2498 สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เสด็จสวรรคต ณ วังสระปทุม ด้วยอาการพระทัยวาย รวมพระชนมายุ 93 พรรษา 3 เดือน 7 วัน จากรัชกาลที่ 4 ถึง รัชกาลที่ 9 รวม 6 แผ่นดิน ทรงผ่านทั้งความสุข ความทุกข์โศกใหญ่หลวง จนได้รับการเล่าขานว่า "เป็นมเหสีที่เศร้าที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย

 

 

ที่มา : "70ปี รักแท้ของในหลวงและพระราชินี" โดย "สุวิสุทธิ์"

สมเด็จ ๖ แผ่นดิน... ผู้ผ่านความทุกข์โศกใหญ่หลวง จนได้รับการเล่าขานว่า มเหสีที่เศร้าที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย "สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า"

สนใจสั่งซื้อหนังสือ ติดต่อ Line ID : @gppbook หรือ FB : Gppbook