สุดอาลัย !!! เปิดที่มา "พระเมรุมาศ" จากเขาพระสุเมรุ ในคติไตรภูมิ  ร่วมส่งเทวดากลับสู่สวรรคาลัย !!!

ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th

สุดอาลัย !!! เปิดที่มา "พระเมรุมาศ" จากเขาพระสุเมรุ ในคติไตรภูมิ  ร่วมส่งเทวดากลับสู่สวรรคาลัย !!!

 

      การจัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงสร้างพระเมรุมาศ และ / หรือพระเมรุ เป็นราชประเพณี ที่แฝงคติความเชื่อแบบพราหมณ์ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมุติเทพซึ่งสถิตบนเขาพระสุเมรุ อันล้อมรอบด้วยเขาสัตบริภัณฑ์ และเมื่อจุติลงมายังมนุษย์โลกเป็นสมมุติเทพ เมื่อสวรรคตจึงตั้งพระบรมศพบนพระเมรุมาศ หรือพระเมรุ เพื่อเป็นการส่งพระศพ พระวิญญาณกลับสู่เขาพระสุเมรุดังเดิม ทั้งนี้ความเชื่อเรื่องเขาพระสุเมรุปรากฏในไตรภูมิ เป็นเรื่องของภูมิจักรวาล มีลักษณะเป็นที่อยู่ของเทวดา ตีนเขาเป็นป่าหิมพานต์ อนึ่งจากความคิดนี้จึงได้จำลองพระเมรุมาศ พระเมรุ เป็นเสมือนเขาพระสุเมรุและสัตบริภัณฑ์เพื่อส่ง เสด็จสู่ทิพยวิมาน โดยสถานที่ประกอบพิธีเดิมนั้นมักเรียกกันว่า ทุ่งพระเมรุ ซึ่งปัจจุบัน คือ ท้องสนามหลวง

แนวคิดเรื่องไตรภูมิ เป็นระบบแนวคิดที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู มาสู่พระพุทธศาสนา กล่าวถึงระบบภูมิจักรวาล ที่แฝงไปด้วยแนวคิด คติ ความเชื่อ
ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และมีอิทธิพลอยู่มากในดินแดนอุษาคเนย์ ตั้งแต่สมัยรัฐโบราณ ไม่ว่าจะ เป็นรัฐศรีวิชัย ตามพรลิงค์ จามปา ขอม พม่า รามัญ และรัฐสยาม วัฒนธรรมความเชื่อในเรื่องนี้เข้ามาอยู่ในวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คน มีอิทธิพลทางการเมืองการปกครอง รวมไป ถึงประเพณีวัฒนธรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นสูงถึงสามัญชน
แนวคิดเรื่องไตรภูมิ และภูมิจักรวาล ก่อให้เกิดการสรรค์สร้างสถาปัตยกรรมมากมายในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเกี่ยวข้องกับศาสนสถานเป็นส่วนใหญ่ และ
ความเชื่อตามหลักไตรภูมินี่เองที่นำมาสู่การประกอบพิธีกรรมของไทย การนำศิลปะเชิงช่าง ผสานกับความประณีตของงานศิลปะก่อให้เกิดงานสถาปัตยกรรมที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ตั้งแต่การเกิด เช่น พิธีทำขวัญ โกนจุก จนถึงการตาย เช่น งานศพ เป็นต้น สถาปัตยกรรม โดยส่วนใหญ่มักมีอิทธิพลอยู่ในวัฒนธรรมราชสำนักหรือวัฒนธรรมหลวง มีการสรรค์สร้างการสืบทอด การปฏิบัติ การปฏิรูป จนบางครั้งก็มีการสูญสลายไปตามยุคสมัย ตามกระแส ของสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงไป ศิลปกรรมชิ้นเอกที่ได้รับการสืบทอดมาสู่ปัจจุบันนั่นคือ พระราชพิธีพระราชทาน เพลิงพระศพและพระบรมศพ เมื่อมีเจ้านายชั้นสูงของราชอาณาจักรได้เสด็จสู่สวรรคาลัย 
 

สุดอาลัย !!! เปิดที่มา "พระเมรุมาศ" จากเขาพระสุเมรุ ในคติไตรภูมิ  ร่วมส่งเทวดากลับสู่สวรรคาลัย !!!

พระราชพิธีการส่งเสด็จมีขั้นตอนและระเบียบวิธีการมากมาย ไม่ว่ากระแสสังคม จะเปลี่ยนไปพระราชพิธีนี้ยังคงธำรงรักษารายละเอียดไว้ค่อนข้างสมบูรณ์ โดยเฉพาะงาน
สถาปัตยกรรมชั่วคราวที่สร้างขึ้น ซึ่งประกอบด้วยความคิดตามคตินิยม ศิลปกรรมแขนง ต่าง ๆ ตลอดจนการรังสรรค์ออกแบบมาอย่างวิจิตรพิสดาร เหมาะสมกับฐานันดรแห่งเจ้านายพระองค์นั้น ๆ นั่นคือ “พระเมรุ” และ “พระเมรุมาศ” ซึ่งมีการถ่ายทอดแนวคิด ตามระบบไตรภูมิวิทยาไว้อย่างสมบูรณ์

สุดอาลัย !!! เปิดที่มา "พระเมรุมาศ" จากเขาพระสุเมรุ ในคติไตรภูมิ  ร่วมส่งเทวดากลับสู่สวรรคาลัย !!!

คติไตรภูมิกับการสร้างพระเมรุและพระเมรุมาศ
พระเมรุเป็นสถาปัตยกรรมชั่วคราวที่ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นอย่างวิจิตรตามคติ ความเชื่อของไตรภูมิวิทยา โลกสัณฐาน และจักรวาลวิทยา อันเป็นคตินิยมที่ได้รับอิทธิพล
ของศาสนาพราหมณ์ และพระพุทธศาสนา เป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติ และแสดงความอาลัยแด่เจ้านายชั้นสูงพระองค์นั้นเป็นวาระสุดท้าย ในบทความนี้ผู้เขียนนำเสนอเรื่องราวเป็น 2 ส่วน คือ แนวคิดตามระบบไตรภูมิ และคติความเชื่อเรื่องไตรภูมิ
ในงานพระเมรุมาศ – พระเมรุไว้ดังนี้
1. แนวคิดตามระบบไตรภูมิ
ไตรภูมิ หมายถึง ภพภูมิทั้งสาม คือ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ กล่าวคือ
พระพุทธศาสนาจะแบ่งภูมิตามโลกธาตุหรือหนึ่งจักรวาลตามสภาวะจิตในแง่พุทธปรัชญา
ภูมิทั้งสามนี้แบ่งออกเป็นภูมิย่อย ๆ ซ้อนทับอยู่บนโครงสร้างของจักรวาลอีกทีหนึ่งทั้งหมด
31 ภูมิ (รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล. 2546 : 26 - 27) คือ กามภูมิ 11 รูปภูมิ 16 และอรูปภูมิ 4
ดังที่ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา (2545 : 56 - 57) ได้กล่าวสรุปความว่า

สุดอาลัย !!! เปิดที่มา "พระเมรุมาศ" จากเขาพระสุเมรุ ในคติไตรภูมิ  ร่วมส่งเทวดากลับสู่สวรรคาลัย !!!

กามภูมิ คือ ภูมิของผู้ที่ยังเกี่ยวข้องอยู่ในกาม มีความผูกพันอยู่ด้วยกาม เป็นภูมิ ที่เกิดของเทวดา 6 ภูมิ เรียกว่า “ฉกามาพจร” หรือสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น ได้แก่ จตุมหาราชิกา
ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี และปรนิมมิตวสวัตตี ต่ำกว่าสวรรค์ลงมาเป็น มนุษยภูมิ 1 ดิรัจฉานภูมิ 1 อสูรกายภูมิ 1 เปรตภูมิ 1 และนรกภูมิ 1 รวม 11 ภูมิ

รูปภูมิ คือ ที่อยู่ของพรหมที่มีรูปร่าง เป็นผู้ที่เสวยความสุขที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย
กาม มี 16 ชั้น เรียกว่า “โสฬสพรหม”

อรูปภูมิ คือ ที่อยู่ของพรหมที่ไม่มีรูปร่าง มี 4 ชั้น
ในส่วนโครงสร้างของจักรวาล จักรวาลมีรูปเป็นทรงกลม จักรวาลหนึ่ง
ประกอบด้วยเขาพระสุเมรุ เป็นแกนกลาง มีเขาสัตบริภัณฑ์ ได้แก่ ยุคนธร อิสินธร กรวิก
สุทัสนะ เนมินธร วินตกะ และอัสกัณณะ ซึ่งมีความสูงลดหลั่นกันไปทีละครึ่ง ล้อมรอบ
เป็นวงกลมเป็นชั้น ๆ ระหว่างเขาสัตบริภัณฑ์กั้นด้วยมหานทีสีทันดร ถัดจากเขาอัสกัณณะ
ซึ่งมีความสูงน้อยที่สุดออกมาเป็นโลกสมุทรหรือทะเลน้ำเค็ม ในโลกสมุทรมีเกาะหรือทวีป
อยู่ตรงทิศทั้งสี่ของเขาพระสุเมรุ คือ อุตรกุรุทวีป ทางทิศเหนือ บุรพวิเทหทวีป ทางทิศ
ตะวันออก ชมพูทวีป ทางทิศใต้ และอมรโคยานทวีป ทางทิศตะวันตก ทั้งหมดนี้ล้อมรอบ
ด้วยเขาจักรวาลหรือกำแพงจักรวาล มีพระอาทิตย์และพระจันทร์โคจรรอบเขาพระสุเมรุ
ในระดับความสูงเท่ายอดเขายุคนธร

 

สุดอาลัย !!! เปิดที่มา "พระเมรุมาศ" จากเขาพระสุเมรุ ในคติไตรภูมิ  ร่วมส่งเทวดากลับสู่สวรรคาลัย !!!

2. คติความเชื่อเรื่องไตรภูมิในงานพระเมรุมาศ – พระเมรุ
การจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระศพ ส่วนที่สำคัญของงานช่างศิลปกรรมก็คือ พระเมรุมาศ และพระเมรุ ด้วยเหตุนี้การสร้างพระเมรุมาศและ
พระเมรุนั้นจึงเป็นงานศิลปกรรมชั้นสูงที่ต้องเรียนรู้กระบวนการของช่างไทยทุกสาขา ดังนั้นการปลูกสร้างและจัดองค์ประกอบต่าง ๆ จึงต้องอาศัยรูปแบบอย่างโบราณตาม
ราชประเพณีที่มีหลักฐานให้ศึกษาและสืบทอดกันต่อมา

2.1 คติความเชื่อเกี่ยวกับพระเมรุมาศ – พระเมรุ  สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาช้านาน การดำรงอยู่
ของสถาบันพระมหากษัตริย์มีส่วนสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับบทบาททางการเมืองการปกครองและวัฒนธรรมที่ถือปฏิบัติตามระบบจารีตมานาน เช่น ที่อธิบายความเชื่อสำคัญว่ากษัตริย์ เป็น “เทวราชา” และ “สมมุติเทพ” ตามแนวคิดระบบความเชื่อที่มาจากอินเดียซึ่งราชสำนักสยามได้รับอิทธิพลทางความเชื่อนี้มาจากราชอาณาจักรขอม ภาพสะท้อนที่พระมหากษัตริย์เป็นเทวราชาจากศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู และเป็นพุทธราชาจากพระพุทธศาสนา เนื่องจากเทพมีบทบาทในการค้ำจุนพระศาสนา
ภาพสะท้อนของกษัตริย์ที่แสดงออกผ่านพระราชพิธีต่าง ๆ ได้แก่ พระราชพิธี

พระราชพิธีโสกันต์เจ้านาย เนื่องจากเป็นพระราชพิธีที่สำคัญแต่โบราณอันเกี่ยวเนื่องกับการเกิดโดยที่พระราชกุมาร – กุมารีทุกพระองค์ต้องเข้าร่วมเพื่อแสดงความเป็นพระหน่อขององค์สมมติเทพคือพระมหากษัตริย์ ในพระราชพิธีนี้มีการก่อสร้างสถาปัตยกรรมที่แสดงลักษณะไตรภูมิและเป็นสถาปัตยกรรมชั่วคราวที่ใช้เฉพาะงาน (นิพัทธพงศ์ พุมมา.2555 : 612) เฉพาะเจ้านายองค์นั้น ๆ คือ “เขาไกรลาส” คล้ายกับ พระเมรุมาศหรือพระเมรุในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระบรมศพหรือพระศพ
งานพระเมรุเป็นพระราชพิธีที่มีความสำคัญซึ่งแสดง “ทิพภาวะ” และความเป็น“สมมติเทพ” ของพระมหากษัตริย์ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับพระมหา
กษัตริย์ ผู้ที่ดำรงสถานภาพเป็นสมมติเทพโดยตรง ดังนั้นงานสถาปัตยกรรม ศิลปกรรมและพิธีการที่เกี่ยวเนื่องดังกล่าวจึงมีความอลังการ และมีขั้นตอนที่ละเอียดและใช้เวลาในการจัดงานมากกว่างานศพของคนธรรมดาหลายเท่าตัว (วรพร ภู่พงศ์พันธุ์. 2552 : 127) ดังปรากฏหลักฐานที่เป็นข้อสังเกตเกี่ยวกับเรื่องประเพณีงานศพในสมัยอยุธยาโดยนิโกลาส์ แซรแวส (2506 : 202 - 208) ชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาอยู่ที่ราชอาณาจักรอยุธยา 4 ปี ความว่า โดยทั่วไปแล้ว เมื่อพระมหากษัตริย์สวรรคต กษัตริย์พระองค์ใหม่ที่ขึ้นครองราชย์จะจัดงานพระเมรุถวาย แต่ทั้งนี้ใช่ว่ากษัตริย์ทุกพระองค์จะมีงานพระเมรุที่ใหญ่โตได้ ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ถูกแย่งชิงราชบัลลังก์ พระองค์อาจถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ (วินัย พงศ์ศรีเพียร. 2548 : 175 - 176) และกษัตริย์พระองค์ใหม่อาจไม่จัดงานพระเมรุถวาย การจัดงานพระเมรุที่มีหลายขั้นตอนยังสะท้อนให้เห็นถึงทิพภาวะของพระมหากษัตริย์ เช่น เมื่อสวรรคต พระบรมศพนั้นทรงเครื่องอย่างกษัตริย์ พระบรมศพได้รับการ

สรงด้วยน้ำหอม อาทิ น้ำกุหลาบ น้ำจันทน์เทศ นอกจากนี้พระบรมโกศสำหรับประดิษฐาน พระบรมศพก็จะประดับอย่างงดงามด้วยวัสดุสูงค่า ทั้งทองคำ และอัญมณีมากมาย อีกทั้งยังมีการประดับเครื่องยอดด้วยพรหมพักตร์ รูปครุฑ รูปสิงห์ สิ่งเหล่านี้ล้วนแสดงว่ากษัตริย์ผู้ประทับอยู่ในพระโกศมิใช่คนสามัญธรรมดา แต่เป็นผู้มี “ทิพภาวะ” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ “กษัตริย์ คือ เทพเจ้า หรือเทวดา” นั่นเอง (วรพร ภู่พงศ์พันธุ์. 2552 : 128) สำหรับการก่อสร้างพระเมรุนอกจากจะมีหน้าที่หลักคือ รองรับการพระราชพิธีที่จะเกิดขึ้นแล้ว ยังเป็นการจำลองภาพของเขาพระสุเมรุ ซึ่งในคัมภีร์ของศาสนากล่าวว่าเป็น “ศูนย์กลางของจักรวาล” ดังนั้นความยิ่งใหญ่ของพระเมรุจึงแสดงถึงนัยการเป็นใจกลางของสรรพสิ่งนั่นเอง และนัยการก่อสร้างที่มุ่งหมายให้พระเมรุมีความสูงใหญ่ประดุจขุนเขาที่กล่าวถึงในวรรณกรรม (สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา. 2528 : 64) อนึ่งการก่อสร้างพระเมรุบางองค์จึงได้พูนดินขึ้นมาเป็นรากฐานด้วย การจำลองสมมุติบรรพตตามคติความเชื่อเรื่องไตรภูมิ ภูมิจักรวาล และโลกสัณฐานโดยมีเขาพระสุเมรุเป็นแกนกลางของสรรพสิ่งมาสร้างพระเมรุ ย่อมแสดงความหมายเชิงสัญลักษณ์แห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งถือว่าเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลางจักรวาลตามคติพราหมณ์และพุทธ กล่าวคือ เป็นที่ประทับของเหล่าเทพเจ้า และเทวดาทั้งหลายอนึ่งยอดเขาพระสุเมรุนั้นเป็นที่ตั้งแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หรือเทวโลกอันมีเทวสภาที่มีผู้ปกครองสูงสุดคือ พระอินทร์ สามารถโยงเข้ากับคติของพระนามพระมหากษัตริย์ผู้เป็น“อินทราชา” และเกี่ยวข้องกับพระอิศวรหรือพระศิวะ เทพเจ้าสูงสุดในตรีมูรติผู้สถิต ณ เขาไกรลาส ที่เกี่ยวกับคติเรื่อง “เทวราชา” อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับพระวิษณุหรือพระนารายณ์ เทพเจ้าสูงสุดผู้สถิต ณ เกษียรสมุทร ผู้รักษาและคุ้มครองโลก ตามคติความเชื่อในเรื่อง “รามราชา” แสดงให้เห็นว่าการที่พระศพหรือพระบรมศพได้รับอัญเชิญมากระทำพิธีที่พระเมรุ ก็เปรียบเสมือนพระอินทร์ และ / หรือเทพเจ้าองค์ต่าง ๆ ขณะเดียวกันนั้นการถวายพระเพลิงพระบรมศพ ณ พระเมรุ ย่อมเป็นการสื่อความหมายในแง่มุมหนึ่งว่า กษัตริย์ผู้สวรรคตนั้นได้เสด็จสู่เทวพิภพ ณ ดินแดนเขาพระสุเมรุ อันเป็นที่ประทับเดิมก่อนจุติแล้วเสด็จลงมาประทับยังโลกมนุษย์ การตีความจักรวาลคติและถ่ายทอดออกมาเป็นมณฑลพิธี รวมไปถึงลักษณะทางสถาปัตยกรรม ยังอ้างไปถึงแนวคิด และคติที่เกี่ยวเนื่องกับดินแดนบริเวณเขาพระสุเมรุไม่ว่าจะเป็นทิวเขาสัตบริภัณฑ์ ดินแดนของเทพ อสูร ครุฑ นาค และป่าหิมพานต์อันเป็นที่อยู่ของวิทยาธร คนธรรพ์ กินนร และสัตว์หิมพานต์อื่น ๆ มาอยู่รายรอบพระเมรุมาศ หรือแม้กระทั่งเมรุทิศทั้ง 4 ก็เปรียบเสมือนทวีปทั้ง 4 ที่อยู่โดยรอบเขาพระสุเมรุนั่นเอง

 

สุดอาลัย !!! เปิดที่มา "พระเมรุมาศ" จากเขาพระสุเมรุ ในคติไตรภูมิ  ร่วมส่งเทวดากลับสู่สวรรคาลัย !!!

ศูนย์กลางแห่งจักรวาลคือเขาพระสุเมรุตามคติไตรภูมิ บรมบรรพตอันเป็นที่ตั้งแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ที่ประทับของพระอินทร์ ผู้เป็นเทวดาอยู่เหนือเทวดาทั้งมวล
ตามแนวคิดจักรพรรดิราช จากคติความเชื่อสู่การสร้างพระเมรุมาศใจกลางพระนครงานออกแบบพระเมรุและรูปแบบของพระเมรุมาศแตกต่างกันไปในแต่ละครั้งตามแต่แรงบันดาลใจของผู้สร้างตามคติความเชื่อตามประเพณีโบราณของไทยที่ให้ความสำคัญและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์เสมือนสมมุติเทวราชาตามระบอบเทวนิยม เมื่อสวรรคตหรือสิ้นพระชนม์ หมายความว่าได้เสด็จคืนสู่สวรรค์ ณ เทวาลัยสถาน คือ เขาพระสุเมรุ รูปแบบเขาพระสุเมรุสื่อถึงคติทางพระพุทธศาสนาเรื่องไตรภูมิอันเป็นภาพของจักรวาลที่มีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลางของภูมิทั้งสาม รายล้อมด้วยสรรพสิ่ง นานา อาทิ เขาสัตบริภัณฑ์ วิมานท้าวจตุโลกบาล เหล่าทวยเทพ ณ สวรรค์ชั้นฟ้า หรือสรรพสัตว์ต่าง ๆ ในป่าหิมพานต์ การสร้างพระเมรุมาศหรือพระเมรุและอาคารประกอบแวดล้อมอื่น ๆ จึงได้จำลองให้คล้ายกับดินแดนแห่งเขาพระสุเมรุ โดยอาคารพระเมรุออกแบบให้เป็นอาคารเรือนยอดปราสาทซ้อนชั้น อันสื่อถึงชั้นภพภูมิต่าง ๆ ของสรวงสวรรค์ ตั้งเป็นประธาน ณ ใจกลางมณฑลพิธี เหมือนกับเขาพระสุเมรุที่เป็นศูนย์กลางจักรวาล และมีอาคารประกอบใหญ่น้อยต่าง ๆ ตั้งอยู่โดยรอบ ตกแต่งด้วยราชวัติฉัตรธง ต่าง ๆ ซึ่งแนวคิดของไตรภูมิสะท้อนผ่านงานสถาปัตยกรรมในปริมณฑลของพระเมรุ นั้นอันประกอบด้วย
1. พระเมรุ 1 องค์อันเป็นศูนย์กลางของปริมณฑล เปรียบดังเขาพระเมรุอันเป็น
ที่อยู่ของเทวดา พร้อมเครื่องประกอบมีพระจิตกาธาน ใช้เป็นที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพ
2. เทวดารอบ ๆ เขาพระสุเมรุมีเทวดายืนเชิญฉัตรเครื่องสูง เทวดานั่งถือ
บังแทรก เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงเทวดาที่อาศัยอยู่รายรอบเขาพระสุเมรุมาส่งเสด็จสู่
สวรรค์ในครั้งนั้นด้วย
3. สัตว์หิมพานต์เป็นสัตว์ในจินตนาการที่กวี จิตรกร ประติมากร หรือช่าง
พรรณนาถึงสัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์หรือเขาไกรลาส ดังที่ปรากฏในวรรณคดีไตรภูมิกถา (ไตรภูมิพระร่วง) และรามเกียรติ์ โดยมีลักษณะของสัตว์หลายชนิดมาประกอบกันในตัว เดียว เช่น การนำรูปคนมาปนรูปสิงห์ หรือการนำรูปยักษ์มาปนกับมังกรและลิง
4. ซ่าง หรือสำส้าง 4 มุมพระเมรุ สำหรับพระพิธีธรรมให้พระสงฆ์สวดพระอภิธรรม
5. พระที่นั่งทรงธรรม เป็นที่ประทับทรงธรรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และพระบรมวงศานุวงศ์ผู้เปรียบเสมือนเทวดาที่เหนือกว่าเทวดาทั้งปวง ฉะนั้น อาคาร
รอบ ๆ จึงเป็นที่สถิตของเทวดาชั้นรองลงมา นั่นก็หมายถึงเหล่าขุนนางและข้าราชบริพาร
6. ศาลาลูกขุน 7 หลังสำหรับข้าราชบริพารผู้มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ด้วยแนวคิดที่ว่าขุนนางผู้มีบุญได้รับถวายงานใกล้ชิดพระมหากษัตริย์ก็เป็นเทวดาเหมือนกัน
ศาลาลูกขุนในสมัยโบราณจึงเป็นเสมือนสถานที่เทวดามาชุมนุมกันเพื่อส่งเสด็จสู่สวรรค์
ครั้งสุดท้าย
7. แผ่นกระเบื้องสีฟ้ารายรอบพระเมรุ หมายถึง แผ่นน้ำพระมหานทีสีทันดรอันเป็นทะเลล้อมรอบเขาพระเมรุ
8. ฉัตรขาว จะประดิษฐานบนยอดพระเมรุมาศตามแต่พระอิสริยยศ

2.2 การประดิษฐานพระบรมศพและพระศพ
ขนบธรรมเนียมประเพณีโบราณ เมื่อมีพระบรมวงศานุวงศ์สิ้นพระชนม์ลง เรามีแบบแผนการจัดการพระบรมศพและพระศพอย่างสมพระเกียรติสูงสุดตามโบราณ
ราชประเพณีมาช้านาน หลักฐานที่กล่าวถึงการจัดพระราชพิธีพระบรมศพที่เก่าแก่ที่สุดปรากฏในหนังสือไตรภูมิกถาหรือไตรภูมิพระร่วง หนังสือวรรณคดีทางพระพุทธศาสนาเล่มแรกของไทย พระมหาธรรมราชาที่ 1 พญาลิไทยแห่งกรุงสุโขทัย ทรงพระราชนิพนธ์ การศึกษาแนวคิดเรื่องไตรภูมิกับการสร้างพระเมรุและพระเมรุมาศทำให้เห็นวิธีคิดของชาวสยามที่ได้รับอิทธิพลความเชื่อมาจากศาสนาเป็นสำคัญ ประเพณีต่าง ๆ ได้สร้างขึ้นเป็นวัฒนธรรมที่ดีงามและคงสืบทอดอยู่ ทั้งนี้ประเพณีและพิธีกรรมต่าง ๆ โดยทั่วไปเป็นการผสมผสานระหว่างคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู และพระพุทธศาสนา ความคิดเรื่องไตรภูมิทำให้ชาวสยามประพฤติปฏิบัติดี เพื่อนำไปสู่ภพภูมิที่ดีเมื่อสิ้นอายุขัยจะเห็นได้ว่าสิ่งก่อสร้างทั้งหมดล้วนแสดงความหมายเชิงสัญลักษณ์ หาใช่การแสดงความสวยงามแต่เพียงประการเดียว อย่างไรก็ดีความสวยงามอลังการของพระเมรุมาศและราชรถ ย่อมสะท้อนนัยสำคัญต่อสาธารณชนเพื่ออธิบายสถานะอันสูงส่งแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ คือ ความเป็น “เทวราชา” “สมมติเทพ” และ “อินทราชา”อีกนัยหนึ่งก็เพื่อแสดงฐานะพระประมุขและสถาบันสูงสุดของพระราชอาณาจักร อนึ่งงานพระเมรุมาศยังเป็นงานที่ได้ประกาศถึงความมั่นคงของบ้านเมือง เนื่องจากงานพระราชพิธีพระเมรุมาศนั้นต้องใช้พระราชทรัพย์จำนวนมาก ใช้วัสดุอุปกรณ์ ต่าง ๆ เพื่อการก่อสร้างพระเมรุมาศ กอปรกับใช้เวลานานกว่าจะแล้วเสร็จ อีกทั้งเป็นงานพระราชพิธีที่ต้องรวบรวมช่างฝีมือไว้มากมายทุกแขนงสาขาทำให้เป็นสถาปัตยกรรม ชั่วคราวที่ทรงคุณค่ามาแต่อดีตตราบกระทั่งปัจจุบัน

สุดอาลัย !!! เปิดที่มา "พระเมรุมาศ" จากเขาพระสุเมรุ ในคติไตรภูมิ  ร่วมส่งเทวดากลับสู่สวรรคาลัย !!!

สุดอาลัย !!! เปิดที่มา "พระเมรุมาศ" จากเขาพระสุเมรุ ในคติไตรภูมิ  ร่วมส่งเทวดากลับสู่สวรรคาลัย !!!

สุดอาลัย !!! เปิดที่มา "พระเมรุมาศ" จากเขาพระสุเมรุ ในคติไตรภูมิ  ร่วมส่งเทวดากลับสู่สวรรคาลัย !!!

สุดอาลัย !!! เปิดที่มา "พระเมรุมาศ" จากเขาพระสุเมรุ ในคติไตรภูมิ  ร่วมส่งเทวดากลับสู่สวรรคาลัย !!!

สุดอาลัย !!! เปิดที่มา "พระเมรุมาศ" จากเขาพระสุเมรุ ในคติไตรภูมิ  ร่วมส่งเทวดากลับสู่สวรรคาลัย !!!

สุดอาลัย !!! เปิดที่มา "พระเมรุมาศ" จากเขาพระสุเมรุ ในคติไตรภูมิ  ร่วมส่งเทวดากลับสู่สวรรคาลัย !!!

ทั้งนี้ โครงสร้างของพระที่นั่งทรงธรรมเป็นอาคารประกอบที่มีความคืบหน้ามากที่สุด ขณะนี้โครงสร้างเสร็จแล้ว 95% ส่วนภาพรวมการก่อสร้างพระเมรุมาศคืบหน้า 35% 
เจ้าหน้าที่ดำเนินการติดตั้งชั้นเชิงกลอน เรือนยอดบุษบกทั้ง 9 องค์เรียบร้อยแล้ว ส่วนโครงสร้างหลักของพระเมรุมาศที่อยู่กึ่งกลางด้านทิศใต้ของสนามหลวงเสร็จแล้ว 85% เหลือเพียงการเก็บรายละเอียดส่วนที่เป็นชั้นชาลา และบันได ส่วนอาคารประกอบอื่นๆ ศาลาลูกขุน 1 คืบหน้า 40% ศาลาลูกขุน 2 คืบหน้า 35% ทับเกษตรและทิมคืบหน้า 18% และในช่วงเดือนพฤษภาคมจะเริ่มเตรียมการสำหรับงานด้านภูมิสถาปัตยกรรมที่เจ้าหน้าที่จะเริ่มเข้ามาปรับภูมิทัศน์ ปรับหน้าดินสำหรับการลงต้นไม้ ดอกไม้  ส่วนงานประติมากรรมประกอบพระเมรุมาศเทวดายืนรอบพระเมรุมาศอยู่ระหว่างตกแต่งเก็บรายละเอียดหุ่นต้นแบบปูนปลาสเตอร์ เทวดานั่งอยู่ระหว่างทำสีรองพื้นและเขียนสีจริง   ส่วนการสร้างพระโกศจันทน์ ดำเนินการฉลุและประกอบลายซ้อนไม้แล้ว ส่วนหีบพระบรมศพจันทน์ ได้จัดสร้างโครงโลหะและอยู่ระหว่างทดลองติดตั้งลวดลายไม้

 

 

ที่มาจาก : กรมศิลปากร