- 12 พ.ค. 2560
ติดตามเรื่องราวดีๆ ได้ที่ http://www.tnews.co.th
จากกรณีที่ “อ.เผ่า สุวรรณศักดิ์ศรี” ศิลปินแห่งชาติ ได้แสดงความคิดเห็น กรณี "เนติวิทย์" ได้รับการเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานสภานิสิตจุฬาฯ ปีการศึกษา 2560 ด้วยคะแนนเสียง 27 เสียง จากองค์ประชุมทั้งหมด 36 คน
รายละเอียด ข่าวเพิ่มเติม : “อ.เผ่า สุวรรณศักดิ์ศรี" ไม่ควรไปให้ค่าเนติวิทย์ "อำนาจ" ในการบริหารจัดการที่แท้จริงอยู่ที่ อบจ.
ทั้งนี้ ศิษย์เก่าจุฬาฯ ดร. เวทิน ชาติกุล ก็ได้เขียนบทความโพสต์ลงในเฟสบุ๊คเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว โดย มีรายละเอียดว่า...
จากความคิดเห็นของ "อาจารย์เผ่า สุวรรณศักดิ์ศรี" สู่ "เกียรติภูมิ" จุฬาฯ / เวทิน ชาติกุล / เพจเปาบุ้นจุ้น
-----
ผมเขียนสเตตัสนี้เพราะ อ.เผ่า สุวรรณศักดิ์ศรี เป็นอาจารย์ของผม เคยสอนผมสมัยเมื่อผมอยู่ที่จุฬาฯเมื่อนานมาแล้ว
ไม่ใช่อาจารย์ทุกคนที่เป็นอาจารย์จุฬาฯแล้วผมจะนับถือนะครับ สมัยเรียนผมกับเพื่อนก็เห็นทั้งด้านที่ดีและด้านที่ไม่ดีในจุฬาฯ เราก็ต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ดีกันด้วยวิธีแบบเรา อาจารย์บางคนเก่งแต่นิสัย กับ ปาก ชอบดูถูกคนฉิบหาย บางคนไม่ได้ตัดสินผลงานที่ฝีมือแต่ดูที่บ้านรวยหรือนามสกุลใหญ่โต เจอแบบนี้ถึงไหนก็ถึงกัน สู้กันซึ่งๆหน้าแบบไม่ต้องมีตำแหน่ง หน้าตาอะไรมาค้ำคอ หรือสวมหัวโขน
แต่อาจารย์เผ่าไม่ใช่อาจารย์ในกลุ่มนั้น
แม้ไม่สนิทกันมาก อาจารย์ก็เป็นคนหนึ่งที่ผมและเพื่อนนับถือ เราผิดหรือพลาด อาจารย์ตำหนิติเตียนตรงๆ แบบนี้ไม่ว่ากันครับ รับได้ ยกมือไหว้ได้สนิทใจ
ผมจบมาไม่เคยเจออาจารย์เผ่าอีกเลย มาเจออีกทีก็ไม่กี่วันก่อนในหน้าเฟสที่อาจารย์เผ่าเขียนถึงตำแหน่งประธานสภา นิสิต และมีคนแชร์กันต่อๆมา
สำหรับผม อ่านแล้ว ใครที่มีเหตุผล มีวิจารณญาน มีสติ ไม่ว่าจะยืนอยู่ฝ่ายใดก็เถอะ น่ารับฟังและเอามาพินิจพิเคราะห์ต่อ
ถ้ายังคิดว่าเหตุผลจะยังนำเราไปสู่จุดหมายทางการเมืองที่เราฝันถึง
ถ้าผมเป็นคนที่อาจารย์เผ่ากล่าวถึง ผมจะเอาที่อาจารย์เผ่าพูดมาดูเป็นข้อๆ
ข้อแรก อาจารย์เผ่าบอกว่า "การเป็นสมาชิกหรือประธานสภานิสิตจุฬาฯในปัจจุบันมันไม่ใช่เรื่องยากเย็น อะไร การเลือกตั้งแต่ละครั้งจะหานิสิตลงสมัครแสนยากเย็น บางคณะแค่มีนิสิตสมัครให้ครบแล้วลงคะแนนรับรอง ผมรู้ดีเพราะเคยเป็นสมาชิกสภารุ่นแรกและเคยจัดการเลือกตั้งในคณะมาหลายปี สมัยที่เป็นรองคณบดีกิจการนิสิต แต่บทบาทองค์การก็มีความสำคัญคือคอยตรวจสอบการทำงานของ อ.บ.จ."
ผมคงทบทวนตัวเองว่าที่อาจารย์เผ่าว่ามานั้นมันจริงหรือไม่? จากข้อมูลที่รับทราบ
-มีสมาชิกสภาได้ตามโควต้าคณะ 57 คน แต่ได้สมาชิกจริงแค่ 44 คน และสมาชิกที่มาเลือกตั้งประธานกันจริงๆก็ไม่ครบ 44 คนอีก มาแค่ 36 คน อันนี้เหมือนที่อาจารย์เผ่าบอกว่า "การเลือกตั้งแต่ละครั้งจะหานิสิตลงสมัครแสนยากเย็น" ใช่หรือไม่?
-มีเปอร์เซ็นต์ของนิสิตที่ออกมาเลือกจากคณะทั้งหมด เพียง 30% เท่านั้น ประมาณว่าถ้าจุฬาฯมีนิสิต 40,000 คน คนที่มาเลือกก็แค่ 12,000 คน ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ
หากเป็นข้อเท็จจริงเป็นประมาณนี้ ถึงจะได้รับเลือกผ่านการเลือกตั้งมาก็จริง (และไม่ได้ผ่านการยึดอำนาจมา) แต่เป็นผมก็คงสงบปากสงบคำไว้ก่อนที่จะพูดเสียงดังๆว่า "มาจากการเลือกตั้ง" เพราะจริงๆมันคือการเลือกตั้งที่คนในประชาคมเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญหรือ สนใจ หรือ "นอนหลับทับสิทธิ์" กันเกินครึ่ง
และเอาเข้าจริงๆผมก็คงยังไม่กล้าที่จะพูดว่า "ไม่ได้ยึดอำนาจมา" เพราะถ้าสมาชิกสภาที่เลือกกันเข้ามาล้วนเป็นคนที่อยู่ฝ่ายเดียวกันกับผม หรืออาจมีการพูดคุยเจรจากันเอาไว้ก่อน ในทางพฤตินัยมันก็คือการยึดอำนาจกลายๆนั่นแหละ เพียงแต่ไม่ได้เอา "ปืน" มายึด แต่เอา "พวกมากกว่า" มายึดสภา (ที่ไม่มีใครสนใจ) อยู่ดี
ถ้ารู้ตัวและประเมินตัวว่าอยู่ในข้อเท็จจริงแบบนี้ การสงบปากสงบคำแล้วค่อยทำงานพิสูจน์ฝีมือให้เห็นน่าจะดีกว่าออกมาพล่าม เพ้อเจ้อ หรือด่ากราดใครต่อใครไปทั่วเหมือนวัยรุ่นที่วุฒิภาวะยังไม่ผ่าน
ข้อสอง อาจารย์เผ่าบอกว่า "การที่เนติวิทย์แสดงความคิดเห็นต่อต้านจารีตประเพณีต่างๆนั้นไม่สามารถ เปลี่ยนแปลงอะไรง่ายๆเพราะกิจกรรมต่างๆกำหนดและดำเนินการโดย อ.บ.จ.ซึ่งได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากนิสิตจุฬาฯ"
ผมไม่มีข้อมูลข้อเท็จจริงตรงนี้ แต่ก็นึกสงสัยได้ว่า จริงๆแล้ว "อำนาจ" ในการบริหารจัดการที่แท้จริงอยู่ที่ อบจ. ไม่ใช่สภานิสิต เปรียบเหมือน อบจ.เป็นฝ่ายรัฐบาล สภาเป็นฝ่ายค้าน ในทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่เห็นๆ เห็นเขาสู้กันแทบตาย ยังไม่มีใครที่โม้ว่า "เย้ ผมเป็นฝ่ายค้านนะ" หรือโฆษณาหาเสียงว่า "เลือกผมนะครับ ผมจะไม่ทำหน้าที่ฝ่ายบริหารนะ" (อ้อ จะมีก็คุณชูวิทย์คนหนึ่งละ) ถ้าแน่ใจว่าประชาคมเอาด้วยกับเราแน่ๆ ตามสามัญสำนึกแล้วมันต้องหาเสียงหรือลงสมัครในสนามแข่งที่ตัวเองจะได้อำนาจ บริหารมาอยู่ในมือครับเพื่อจะได้มาทำหน้าที่ตัวแทนจริงๆ
ถ้าทำได้ แล้วเป็นตัวแทนเสียงส่วนใหญ่จริง วันนั้นจะตะโกนดังๆ "มาจากเลือกตั้ง" ก็ยังไม่สาย
ข้อสาม อาจารย์เผ่าบอกว่า "สิ่งที่เนติวิทย์พูดแสดงความคิดเห็นนั้นเกิดผลในทางจิตวิทยาโดยเฉพาะอย่าง ยิ่งกับบรรดานิสิตเก่าจุฬาฯบางคนเกลียดชังถึงกับด่าด้วยถ้อยคำรุนแรง ต้องเข้าใจว่าคนแบบเนติวิทย์มีอยู่ในจุฬาฯและสังคมไทยมาทุกยุคทุกสมัย เราอย่าไปให้ความสำคัญอะไรมาก วันข้างหน้าเมื่อจบไปแล้วยังไม่เปลี่ยนนิสัยสังคมก็สั่งสอนเขาเอง"
ข้อนี้สำคัญครับ เพราะจุฬาฯ ไม่ได้เพิ่งมีมาตอนคุณๆเข้ามาเป็นนิสิต จุฬาฯมี "ประวัติ" ที่ยาวนาน จะชอบไม่ชอบ ประวัติที่ว่านี้มันก็มีส่วนที่กำหนด "ความเป็นจุฬาฯ" อยู่ระดับหนึ่ง จุฬาฯมีทั้งคณะบริหาร เจ้าหน้าที่ นิสิต ตรี-โท-เอก ศิษย์เก่า คนนอก ฯลฯ สารพัดสารพัน และก็ปฏิเสธไม่ได้ด้วย สังคมจุฬาฯไม่ใช่สังคมเพจในเฟสบุคที่มีแต่แอดมินกับลูกเพจโพสกันเอง ฟินกันเอง อวยกันเอง(หรือด่ากันเอง) โดยไม่ให้ความสำคัญกับการมีอยู่ของคนอื่นๆในประชาคม ในทางตรงข้ามเสียงด่าว่า วิพากษ์วิจารณ์ อย่างรุนแรง (ซึ่งในด้านหนึ่งน่าจะเป็นเจตนาแสดงออกเพื่อให้เกิดปฏิกิริยาแบบนี้ขึ้น) ควรเป็นเสียงของ "คนอื่น" ที่ไม่สามารถไม่นำมาพิจารณาไม่ได้ เพราะถ้าจะสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยการยอมรับและรับฟัง "เสียงอื่น" ของ "คนอื่น" ถือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถปฏิเสธได้
ยากจะปฏิเสธว่าการเมืองในด้านหนึ่งคือบทสะท้อนความนิยม แต่ใช่ว่านักการเมืองที่อยู่ได้เพราะคนเกลียดจะไม่มี (อย่างคุณสมัครคนก็ไม่ชอบปากหรือนิสัยของแก แต่ในความไม่ชอบก็มี "บางอย่าง" ของแกที่คนยอมรับ เช่นความตรงไปตรงมา ถึงลูกถึงคน) ซึ่งถ้ายังไม่มีอะไรแบบเดียวกันการเคลื่อนไหวต่อไปนั้นจะเป็นไปเพื่อ "ระดมความเกลียดชัง" ให้ตัวเองมากขึ้นหรือไม่ต้องลองคิดดู
ข้อสุดท้าย อาจารย์เผ่าบอกว่า "จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยสถาปนามาถึง 100 ปีแล้วคนที่จบจากจุฬาฯมีทั้งคนดีและคนไม่ดี แต่คนดีมีมากกว่าแน่นอนคนดีศรีจุฬาฯได้เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาบ้านเมืองมา จนถึงทุกวันนี้ ฉะนั้นทุกคนจึงต้องรักษาชื่อเสียงของบัณฑิตจุฬาฯให้เป็นคนที่มี "ความรู้คู่คุณธรรม" ตลอดไป"
ตรงนี้คนจุฬาฯมีทั้งดีและไม่ดี แต่สบายใจได้ว่า จุฬาฯ100ปี นั้นมาไกลกว่าตอนที่ "จิตร ภูมิศักดิ์" ถูกจับโยนบกเยอะแล้ว ไม่มีคนจุฬาฯคนไหนต่อให้เขาเกลียดชังขนาดไหนจะลุกขึ้นไปทำร้ายอะไรใครหรอก ครับ ผมเชื่อว่าคนจุฬาฯ เขาคิดได้ครับ อีกปีหรือสองปี เมื่อเรียนจบออกไปจากจุฬาฯและไม่ใช่สถานะนิสิตปัจจุบันแล้ว หัวโขนที่สวมอยู่ตามตำแหน่งหรือสถานะมันก็ไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไปแล้ว
ก็เหมือนที่อาจารย์เผ่าพูดไว้นั่นแหละ สิ่งที่จะเหลืออยู่คือ "คุณธรรม" หรือความดีงามที่ได้ทำไว้ให้กับจุฬาฯ
จะชอบหรือชัง ที่ชื่อของ จิตร ภูมิศักดิ์ ดำรงคงอยู่ไม่ใช่เพราะตำแหน่งหรือหัวโขนที่เขาสวนใส่ตอนเป็นนิสิตหรือตอน เป็นอะไรก็ตาม หรือคำพูดหยามหยัน ไม่มีสัมมาคารวะ ไม่รู้กาละเทศะ ไม่รู้ความเหมาะควร
แต่เป็นเพราะ "การมีชีวิตอยู่เพื่อผู้คนและอุดมการณ์" ต่างหากที่ทำให้เขาเป็น "เกียรติภูมิ" จุฬาฯมาจนถึงทุกวันนี้
บทความโดย : ดร. เวทิน ชาติกุล เพจเปาบุ้นจุ้น






