- 07 ก.ค. 2560
ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th
โฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้ากรรมนายเวร
หลวงปู่เทสก์ : กรรมที่ตนกระทำไว้แลว ไม่ว่ากรรมดีและกรรมชั่ว ผลของกรรมนั้นย่อมเกิดที่ใจของตนเอง มิใช่ผู้กระทำกรรมผู้หนึ่ง เจากรรมนายเวรอีกผู้หนึ่ง คล้ายๆ กับว่ามีเจากรรมนายเวรเป็นผู้บัญชาการอยู่ ทำบุญอุทิศกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวรผู้บัญชาการเพื่อให้เป็นสินน้ำใจ แล้วเจ้ากรรมนายเวรก็จะลดหย่อนผ่อนผันให้ อย่างนี้เป็นต้น หรือกรรมเวรที่เราทำแก่คนอื่นนั้น คนนั้นเองเป็นเจ้ากรรมนายเวร เราเห็นโทษความผิดแล้วทำบุญอุทิศไปให้แก่เขาเพื่อเขาจะลดโทษผ่อนผันให้ อันนี้ก็ไมถูก เพราะเขาตายไปแลว ไมทราบไปเกิดในที่ใด และกำเนิดภูมิใด ดังได้อธิบายมาแล้วในข้างต้น
คนที่ทำกรรมทำเวรแก่กันแล้ว เมื่อยังเป็นคนอยู่นี้ จะพ้นจากกรรมจากเวรได้ก็เมื่ออโหสิกรรมให้แก่กันและกันในเมื่อยังเป็นคนอยู่นี่แหละ ตายไปแลวจะอโหสิกรรมให้แก่กันและกันไม่ได้เด็ดขาด มิใช่ว่า เราได้ทำกรรมชั่วทุจริตด้วยจิตที่เป็นบาป มีอกุศลมูลเป็นพื้น มาภายหลัง ๒๐ ปี ๓๐ ปี ๔๐ ปี หรือเท่าไรก็ตาม ระลึกถึงกรรมอันนั้นแล้วกลัวบาป จึงทำบุญอุทิศไปให้แก่ผู้ที่เราได้กระทำแก่เขาเพื่อให้เขาอโหสิกรรมให้ ดังนี้ไม่เป็นการยุติธรรม เป็นการตัดสินคดีภายหลังจากเหตุการณ์ ถ้าถือว่า เราระลึกถึงความชั่วของตนแล้วทำความดีเพื่อแก้ตัวหรือปลอบใจของตัวเอง เป็นการสมควรแท้
แก้กรรมด้วยการอโหสิกรรม-อโหสิเวร
หลวงปู่เทสก์ : กรรมและเวรเป็นของร้ายกาจมาก เมื่อบุคคลทำลงไปแล้วย่อมติดตามไปหาที่สิ้นสุดมิได้ เวรเป็นของน่ากลัวยิ่งกว่ากรรม เพราะเวรที่บุคคลทำด้วยจิตอาฆาตพยาบาทจองเวรในบุคคลโดยเฉพาะ เมื่อบุคคลผู้ทำเวรต่อกันจะมีชีวิตอยู่หรือตายไปแลว ถ้าไปเกิด ยังมีรูปมีนามอยู่ จำเป็นที่เวรจะต้องติดตามไปสนองอยู่ตลอดเวลา สวนกรรมนั้น ถ้าเป็นกรรมเบา เราทำดีก็อาจจะหายไปได้บ้าง
วิธีแก้กรรมเวรในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจาสอนให้ละเวรละกรรมด้วยจิตใจที่เห็นโทษนั้นๆ แล้วมีเมตตาต่อกัน ไม่ทำกรรมและเวรนั้นอีก เมื่อคูกรรมและเวรนั้นยังมีชีวิตอยู่ ต่างก็เห็นซึ่งกรรมและเวรที่ตนกระทำนั้น แล้วพรอมหน้ากัน ให้อโหสิกรรมซึ่งกันและกัน กรรมและเวรนั้นเป็นอันสิ้นลงเพียงแคนั้น ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมอโหสิกรรมให้ กรรมนั้นก็ต้องจองเวรกันต่อไป
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง
หลวงปู่เทสก์ : คนที่ไม่เข้าใจ ไม่รูเรื่องของกรรม ตองหาด้วยอุบายวิธีต่างๆ ให้คนอื่นช่วยเหลือ ให้ครูอาจารย์ ให้พระพุทธ-พระธรรม-พระสงฆ์ช่วย ใช้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรต่างๆ มาช่วย อะไรมันจะมาศักดิ์สิทธิ์เท่าตัวของเรา ไม่มีหรอก ตัวเรานั่นแหละเป็นของศักดิ์สิทธิ์ กรรมดีเราทำมาตั้งแต่ก่อน ชาตินี้ก็ทำเพิ่มเติมใหม่ นั่นแหละเป็นของดีของเราแท้
พิธีกรรมต่างๆ แก้กรรมไม่ได้
หลวงปู่เทสก์ : กรรมและเวรเป็นของที่คนอื่นแก้ให้ด้วยพิธีกรรมต่างๆ เป็นต้นว่า ตัดกรรม ตัดเวร สะเดาะเคราะห์ หรือดูฤกษ์ยาม วันเดือนปีนั้นจะให้ร้าย ปเดือนวันนั้นให้ผลโชคลาภต่างๆ นานา ไม่ได้เด็ดขาด เพราะวันและเดือนมันอยู่ของมันต่างหาก มันจะทำอะไรให้คนไม่ได้ คนไปใส่โทษเขาต่างหากว่า ต่างๆ นานา มาทำเคราะห์เข็ญเวรกรรมให้
“ใจ” คือหลักสำคัญของการแก้กรรม-ดับกรรม
หลวงปู่เทสก์ : ตัวเรานี้เกิดขึ้นมาด้วยกรรม ยังเหลือเป็นตัวเป็นตนอยู่นี้เรียกว่า “เศษกรรม” เศษกรรมนี้จะจ้องติดตามอยู่อย่างนั้น เมื่อมีเศษ มันต้องติดตาม เป็นการใช้กรรมอยูตลอดเวลา อย่างไรก็ไม่พ้นจากเงื้อมมือของกรรมไปได้ ที่จะพ้นจากเงื้อมมือของกรรมก็เพราะจิตใจที่ไม่ยึดถือตัวตนนั่นต่างหาก
ครั้นใจมายึดถือ มันถึงเป็นกรรมเป็นเวรกันอยู่ เมื่อใจไม่ยึดไม่ถือ มันปล่อยวางเสียแลว นั่นแหละจะพ้นจากกรรม กรรมตามไม่ทันหรอก เพราะใจไปยึดจึงค่อยกระเทือนถึงใจ ถือว่าเรากระทำ เขากระทำ อะไรต่างๆ นานา แล้วมันไปยึดไว้ ตัวกรรมทำเหตุอย่างนี้จริง แต่มันเป็นเหตุให้เนื่องถึงใจ สะเทือนถึงใจ เศร้า เสียใจ อาลัยอาวรณ์ ไม่พอใจ สารพัดทุกอย่าง กิเลสเกิดขึ้นที่ใจโนน ตัวกายนั้นไม่มีกิเลสเป็นเหตุให้เนื่องถึงใจ เมื่อใจนั้นไม่ยึด ไม่ถือ ปล่อยวาง ละถอนได้ สวนกายอันนี้ ถึงกรรมจะตามทัน ถึงเขาจะทุบจะตีจนแหลกเหลวก็ช่าง ตัวอย่างเช่น พระโมคคัลลานะ ถูกทุบจนกระทั่งกระดูกเป็นจุณไปหมดก็ไม่ถึงใจ ใจไม่ตาย ท่านยังอธิษฐานให้ประสานกันแล้วเหาะไปกราบทูลลาพระพุทธเจา อันนี้เป็นตัวอย่าง
เพราะฉะนั้น คนที่จะพ้นจากทุกข์ได้ พ้นจากโลกนี้ได้ พ้นกรรมได้ ก็เพราะใจอันเดียว จงยึดถือใจเป็นสำคัญ จะมาเกิดก็เพราะใจเกิดแล้ว จะมาสร้างกิเลสขึ้นก็เพราะใจ เป็นทุกข์ก็เพราะใจ ถ้าใจไม่เป็นทุกข์ ใจไม่ยึดถือ ปล่อยทิ้งเสีย กายอันนี้ก็ไปตามเรื่องของกาย ใจก็เป็นตามเรื่องของใจ หมดเรื่องหมดราวกันที
วิธีแก้กรรมล้างบาป (ทางลัดอย่างง่ายที่สุด)
หลวงปู่เทสก์ : การภาวนาคือการสำรวมใจ นี่แหละเป็นการละบาปบำเพ็ญบุญ นี่เป็นวิธีตัดลัดใกล้ที่สุดในการที่จะละชั่วทำดี เห็นชัดภายในใจของตนเลย ใจที่เรายังไม่ได้อบรมภาวนา คือไมได้นั่งสมาธิ จิตจะต้องยุ่งส่งส่ายวุ่นวายไปหาอารมณ์ที่ชั่วที่ดี โดยมากมักเป็นไปในทางที่ไม่ดี เมื่อเรามานั่งภาวนาทำสมาธิสำรวมอยู่ในทางที่ดี นั้นเรียกว่า “ละชั่ว” นี่แหละเป็นการชำระกรรม คือว่าล้างบาปด้วยวิธีนี้ ล้างความชั่วด้วยวิธีนี้ จนกระทั่งเราล้างชำระจนหมดจด ใจมันแน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันเดียว เป็นสมาธิถึงอัปปนายิ่งดี แลวจะไม่มีอะไรเลยในขณะนั้น นั้นเรียกว่า “กรรมหมดจด” ความชั่วที่มีอยู่ในปัจจุบันก็ละขณะนั้นเลย
ถ้าหากเราหัดอยู่อย่างนี้อยู่ตลอดเวลา ความชั่วก็หมดไปๆ เวลามันออกมาอีก เมื่อมาอยู่ธรรมดาๆ ก็จะไม่ยอมทำความชั่วนั้นต่อไป วิธีละกรรมชำระบาปอย่างง่ายที่สุดด้วยการภาวนา เหตุนั้นจึงควรหมั่นทำบ่อยๆ จนกว่ามันจะหมดสิ้นไป
ที่มา : พุทธแท้แก้กรรม ด้วยธรรมดี โดย วิระวัฒน์ ชลสวัสดิ์






