ฟิล์มเอ็กซ์เรย์ก็ถ่ายไม่ติด!! “หลวงปู่ดูลย์” อาพาธหนัก จนหามเข้ารพ. อึ้งทั้งรพ.เมื่อถ่ายเอ็กซ์เรย์ไม่ติด จนต้องขอให้หลวงปู่ ออกจากสมาธิก่อน

ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th

วันนี้จะขอยกเรื่องราวที่น่าสนใจ ของการดับทุกขเวทนาของ พระอริยะ ซึ่งวันนี้จะนำเล่าถึง หลวงปู่ดูลย์เมื่อครั้งอาพาธหนักมาเล่าให้ฟัง ดังนี้ ...

ฟิล์มเอ็กซ์เรย์ก็ถ่ายไม่ติด!! “หลวงปู่ดูลย์” อาพาธหนัก จนหามเข้ารพ. อึ้งทั้งรพ.เมื่อถ่ายเอ็กซ์เรย์ไม่ติด จนต้องขอให้หลวงปู่ ออกจากสมาธิก่อน

พระราชวุฒาจารย์ หรือ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เป็นพระภิกษุฝ่ายวิปัสสนาธุระ ชาวสุรินทร์ ศิษย์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต

 

 

        หลังจากที่หลวงปู่เคยเข้ารักษาอาพาธในโรงพยาบาลครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๘ หลังจากนั้นอีก ๑๘ ปี เมื่อท่านเจริญขันธ์มาจนถึง ๙๕ ปี ท่านจึงมีอาการผิดปกติด้านสุขภาพอีกครั้งหนึ่ง

            เมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๖ หลวงปู่เริ่มมีอาการปวดชาตั้งแต่บั้นเอวลงไปถึงปลายเท้า เริ่มเป็นด้านซ้ายข้างเดียวก่อน ความจริงเคยเป็นเล็กน้อยมานานแล้ว เคยนวดถวายท่านก็สังเกตเห็นได้ว่า ชีพจรเดินเบามาก ต่อมาอาการอย่างนี้ก็ลามมาที่ขาข้างขวา ท่านบอกว่ารู้สึกเหมือนจะปวดหนักปวดเบาอยู่ตลอดเวลา พาไปเข้าห้องน้ำก็ถ่ายไม่ออกทั้งหนักและเบาแถมยังมีอาการเดี๋ยวหยาวเดี๋ยวระคนกัน

            จะให้คนไปตามหมอ ท่านก็ห้ามบอกว่า  "ไม่จำเป็น" ความจริงท่านไม่เคยเรียกหาหมอหรือใช้ให้ใครตามหมอ ตลอดจนไม่เคยบอกให้ใครพาไปโรงพยาบาล เท่าที่เคยมีหมอมารักษาพยาบาล หรือเคยเข้าไปรักษาในโรงพยาบาลนั้นล้วนเป็นเรื่องของลูกศิษย์ลูกหาเป็นห่วงและขอร้องท่านทั้งสิ้น

            ในคืนนั้น ถ้าไม่สังเกตให้ลึกจะไม่รู้เลยว่าท่านอาพาธอย่างรุนแรง ใบหน้าและผิวพรรณดูเป็นปกติ สงบเย็น ไม่มีความวิตกกังวล เหมือนท่านไม่ได้เป็นอะไรเลย

            ผู้รักษาดูแลท่านอย่างใกล้ชิดมาตลอดจะรู้สึกว่าหลวงปู่มีอาการอ่อนเพลียมากในคืนนั้น และแสดงว่าอ่อนเพลียมากขึ้นทุกที จึงต้องตัดสินใจพาท่านไปเข้ารักษาที่โรงพยาบาลสุรินทร์เมื่อเวลาประมาณ ๐๔.๐๐ น.

 

            ตั้งแต่ไปถึง จนถึง ๐๘.๐๐ น. ของเช้ามืดวันที่ ๒๘ มกราคม หมอได้ให้น้ำเกลือและสวนปัสสาวะออก แต่อาการของหลวงปู่ยังไม่ดีขึ้น ถึงกระนั้นท่านก็รบเร้าขอให้พาออกจากโรงพยาบาล ไม่มีใครกล้าทัดทาน จึงต้องนำท่านกลับวัดเมื่อเวลา ๑๕.๔๐ น. วันเดียวกัน

 

            เมื่อกลับถึงวัดคณะศิษย์ได้ปรึกษาหารือ กันและตกลงจะนำหลวงปู่เข้ากรุงเทพฯ ครั้งแรกจะไปรักษาที่โรงพยาบาลธนบุรี ตั้งใจจะออกเดินทางเข้าวันที่ ๒๙ มกราคม เวลา ๐๙.๐๐ น.

            ตลอดคืนที่ผ่านมา สังเกตดูอาการป่วยของหลวงปู่หนักขึ้น ทั้งอาการก็หนาวจัดอีกด้วยตอนเช้าถวายอาหารท่าน ท่านก็ฉันได้เพียงเล็กน้อย

            เมื่อใกล้จะถึงเวลาออกเดินทาง ท่านพระครูนันทปัญญาภรณ์กำลังยืนดูแลความเรียบร้อยอยู่นอกกุฎิหลวงปู่ มีพระภิกษุบางท่านเข้ามาคัดค้านแสดงความไม่เห็นด้วยที่จะนำหลวงปู่เข้ากรุงเทพฯโดยเหตุว่า "เท่าที่ท่านแสดงความเห็นมานี้นับว่าเป็นการถูกต้องแล้ว ในฐานะที่เป็นศิษย์ย่อมมีสิทธิ์เต็มที่ที่จะคัดค้านได้ แต่ผมเห็นว่า ถ้าไม่ไปก็มีทางเดียว คือหลวงปู่หมดลงแน่ แต่ถ้าไปยังมีสองทางเพราะฉะนั้นต้องไป"

 

            และก่อนออกเดินทางนั้นเอง  คุณหมอทวีสิน  ส่งข่าวให้ทราบว่าได้ติดต่อประสานงานที่โรงพยาบาลจุฬาฯให้แล้ว จึงขอเปลี่ยนจากโรงพยาบาลธนบุรีไปเป็นโรงพยาบาลจุฬาฯ แทน

            ตั้งแต่รถพยาบาลเคลื่อนออกจากวัด หลวงปู่นอนสงบนิ่งตลอด จนกระทั่งถึงอำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ เวลา ๑๑.๐๐ น. จึงหยุดรถเพื่อถวายเพลหลวงปู่ โดยไปจอดหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง เจ้าของร้านตื่นเต้นดีใจมาก เพราะหวงปู่เคยมาทำพิธีเปิดร้านให้ เป็นการแวะมาจอดโดยบังเอิญ เขาจัดแจงถวายอาหารเป็นอย่างดี แต่หลวงปู่ฉันข้าวต้มได้เพียงเล็กน้อย

            ระยะทางจากสุรินทร์ถึงกรุเทพฯ รถวิ่งตามปกติใช้เวลา ๖-๗ ชั่วโมงแต่วันนั้นขอไม่ให้วิ่งเร็วเพราะเกรงหลวงปู่จะกระเทือน จึงใช้เวลาถึง ๙ ชั่งโมง ตลอดระยะการเดินทางหลวงปู่นอนสงบเงียบ ไม่มีเหตุอะไรให้น่าวิตกตลอดการเดินทาง

ถึงโรงพยาบาลจุฬาฯ เวลา ๑๗.๔๐ น. ต้องพาหลวงปู่เข้ารักษาที่ตึกฉุกเฉิน เนื่องจากเป็นวันเสาร์และนอกเวลาราชการ ในตอนนี้ลูกศิษย์ลูกหาต่างทุกข์กังวล ที่เห็นอาการของหลวงปู่หนักมาก แถมยังลำบากต้องเดินทางไกลและยังต้องรอเวลาให้หมอตรวจเป็นเวลานานหมอสอบถามข้อมูลหลายอย่างและฉายเอ็กซเรย์ด้วย เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงได้พาหลวงปู่เข้าพักที่ห้องพักพิเศษตึกวชิราวุธ ชั้น ๒ หมายเลขห้อง ๒๒

ฟิล์มเอ็กซ์เรย์ก็ถ่ายไม่ติด!! “หลวงปู่ดูลย์” อาพาธหนัก จนหามเข้ารพ. อึ้งทั้งรพ.เมื่อถ่ายเอ็กซ์เรย์ไม่ติด จนต้องขอให้หลวงปู่ ออกจากสมาธิก่อน

            เพราะเหตุที่มาถึงโรงพยาบาลนอกเวลาราชการ หลวงปู่จึงต้องเข้าตึกคนไข้ฉุกเฉินเสียก่อน ไม่ใช่ห้อง ไอ.ซี.ยู. ตามที่บางท่านเข้าใจ

            หลวงปู่เข้าพักได้ประมาณ ๒ ชั่วโมงกว่า คุณหมอจรัส กับคณะ ก็มาตรวจอาการแล้วบอกว่า ต้องเอาหลวงปู่เข้าห้องเอ็กซเรย์อีก เพราะมีความจำเป็นมาก แม้จะเห็นว่าหลวงปู่อ่อนเพลียมากก็ต้องทำ

            ตอนนั้นเวลา ๕ ทุ่มแล้ว หลวงปู่ท่านนอนสงบนิ่ง จนบางท่านคิดว่าท่านคงจะมรณภาพละทิ้งสังขารไปแล้ว ต้องใส่ท่ออ๊อกซิเจนช่วยหายใจนานนับ ๕ ชั่วโมง การทำงานของหมอจึงแล้วเสร็จ แต่การวินิจฉัยของหมอในคืนนั้นไม่ได้รับผลอะไรเลย

            เมื่อยกหลวงปู่ขึ้นนอนบนแท่นฉายในห้องเอ็กซเรย์แล้ว เจ้าหน้าที่ก็ลงมือฉาย ๒ ชั่วโมงกว่าก็ยังไม่เสร็จ สงสัยว่าเครื่องฉายเสียหรือฟิล์มหมดอายุเพราะปรากฎว่าฟิล์มที่ออกมาแต่ละแผ่นดำสนิทมองไม่เห็นอะไรเลย

            ท่านพระครูนันทปัญญาภรณ์ (พระโพธินันทมุนี) บันทึกไว้ว่า ใช้ฟิล์มเอ็กซเรย์หลายแผ่น หนาเกือบครึ่งคืบ ก็ไม่ได้ผลเลย ทั้งจอภาพก็ไม่ปรากฏภาพให้เห็นได้ตลอด มีเห็นบางไม่เห็นบาง ต้องฉายแล้วฉายอีกตั้งหลายครั้ง หลวงปู่คงต้องอดทนอย่างมาก เห็นท่านนอนหลับตานิ่งไม่ไหวติงเลย

ขอแทรกบันทึกของคุณบำรุงศักดิ์ กองสุข เรื่องฟิล์มเอ็กซเรย์ที่น่าสนใจไว้ ดังนี้

 

            คุณจำนงค์ พันธุ์พงศ์ เล่าให้ผู้เขียนฟังถึงเมื่อครั้งถึงหลวงปู่ดูลย์ อตุโล อาพาธหนัก พระครูนันทปัญญาภรณ์ เป็นผู้นำหลวงปู่เข้ากรุงเทพฯ ให้แพทย์ตรวจอาการ ณ โรงพยาบาลจุฬาฯ

            เมื่อนำหลวงปู่เข้าห้องเอ็กซเรย์ พนักงานคนหนึ่งก็พูดกับคุณจำนงค์ว่า

            "อ่อ! คนแก่ๆ แบบนี้ เอ็กซเรย์ง่ายสบายมาก"

            คุณจำนงค์นึกในใจว่า "ประเดี๋ยวก็รู้ เล่นพูดกับหลวงปู่แบบนี้!"

            พอยกหลวงปู่ขึ้นเตียงเลื่อนไฟฟ้า เตียงไม่เลื่อนเข้าที่ เมื่อคุณจำนงค์ก้มกระซิบกราบขออนุญาตหลวงปู่ เตียงก็เลื่อนเข้าที่ได้

            เจ้าหน้าที่ถ่ายเอ็กซเรย์อยู่นานถึง ๒ ชั่วโมง ขณะถ่ายก็ไม่มีภาพปรากฏบนจอทีวี หมดฟิล์มไปเป็นจำนวนมาก พอล้างออกฟิล์มทุกใบดำไปหมด

            คุณหมอมากราบขออนุญาตกับหลวงปู่ คุณจำนงค์ปลุกหลวงปู่พอให้รู้สึกตัว แล้วกราบเรียนท่านว่า "หลวงปู่ครับ อย่าเข้าสมาธิ เขาถ่ายเอ็กซเรย์ไม่ติด"

            หลวงปู่ว่า "อ้อ! อย่างนั้นรึ"

            หลังจากนั้น จึงมีภาพปรากฏบนจอทีวี และฟิล์มเอ็กซเรย์ก็ได้ภาพตามต้องการ

 

 

            พยาบาลจะฉีดยา จะให้น้ำเกลือ ก็ทำไม่สะดวก บางครั้งก็แทงเข็มไม่เข้าบ้าง จนหมอบอกว่า ร่างกายของท่านไม่รับ ทางหมอเองก็ท้อใจและแปลกใจ

 

            คุณหมอสตรีท่านหนึ่งออกมาถามคณะศิษย์ว่า "ทำไมถึงเป็นอย่างนี้" ต่างคนต่างก็ไม่ทราบ และไม่มีใครกล้าตอบ

 

            เมื่อมาคิดดู โดยลักษณะนี้อาจเป็นว่า หลวงปู่คงจะเข้าสมาธิส่วนลึกและละเอียดเพื่อระงับทุกขเวทนา เพราะเวลา ๑๔ ชั่วโมงที่ผ่านมา ท่านหลับตาอยู่อย่างนั้นโดยไม่ไหวติงเลยตลอดเวลาเข้าห้องฉุกเฉิน ตรวจร่างกาย ฉายเอ็กซเรย์ ตลอดจนเข้าห้องพัก แล้วกลับเข้าห้องเอ็กซเรย์อีก

            ตลอดเวลา ๑๔ ชั่วโมงนั้น ท่านอาจไม่ได้รับรู้การกระทำของพวกเราเลยแม้แต่น้อยก็เป็นได้

            เมื่อได้เห็นภาพหลวงปู่นอนสงบอยู่บนเตียงพยาบาล ได้รับการดูแลรักษาด้วยการแพทย์สมัยใหม่ มีการให้อ๊อกซิเจนช่วยหายใจ ให้น้ำเกลือ และให้อาหารทางสายยางเป็นที่เรียบร้อยพอวางใจได้แล้ว ความวิตกกังวล ความเคร่งเครียดกระวนกระวายที่มีอยู่ในหัวสมองของผู้เขียน (พระครูนันทปัญญาภรณ์) เป็นเวลานาน นับตั้งแต่ออกเดินทางจากจังหวัดสุรินทร์มา ก็ได้บรรเทาเบาบางลงและรู้สึกโล่งใจ เกิดความมั่นใจว่าหลวงปู่จะต้องหายได้ในครั้งนี้อย่างแน่นอน

            ครั้นเวลาตี ๓ ล่วงแล้ว หมอกลับไปหมดแล้ว หลวงปู่จึงลืมตาขึ้นพร้อมกับถามประโยคแรกว่า "หมอตรวจเสร็จแล้วหรือ"

            ได้กราบเรียนท่านว่า "เสร็จแล้วครับ"

            ท่านก็สั่งว่า "ให้กลับเดี๋ยวนี้"

            หมายถึงให้พากลับวัด ต้องค่อยพูดอธิบายให้ท่านทราบว่า ท่านยังกลับไม่ได้ ต้องอยู่พักรักษาที่โรงพยาบาลอีกหลายวัน พร้อมทั้งเลาเหตุการณ์ที่ผ่านมาให้ท่านทราบโดยตลอด ท่านก็ฟังเฉยโดยไม่ว่าอะไร

            ในวันนั้นคณะศิษย์ได้กราบเรียนท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระญาณสังวร (สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่๑๙) ให้ทรงทราบ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงเจริญพรไปยังสำนักพระราชวังต่อไป

ฟิล์มเอ็กซ์เรย์ก็ถ่ายไม่ติด!! “หลวงปู่ดูลย์” อาพาธหนัก จนหามเข้ารพ. อึ้งทั้งรพ.เมื่อถ่ายเอ็กซ์เรย์ไม่ติด จนต้องขอให้หลวงปู่ ออกจากสมาธิก่อน

 

 

ที่มา : dharma-gateway.com