- 29 ส.ค. 2560
ติดตามเรื่องราวดีๆอีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th/
“พระตำหนักคอยท่าปราโมช” ตั้งอยู่ภายในคณะเหลืองรังษี วัดบวรนิเวศวิหาร วัดในสังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย สร้างขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๗๘ แทนที่กุฏิไม้เก่าหลังหนึ่ง เพื่อใช้เป็นกุฏิสำหรับพระภิกษุ โดยหม่อมเจ้าหญิงคอยท่า ปราโมช พระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนวรจักรธรานุภาพ (ต้นราชสกุลปราโมช) ประสูติแต่หม่อมราชวงศ์ดวงใจ ปราโมช (เชื้อสายราชสกุลกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข) ทรงมีศรัทธาบริจาคทรัพย์เป็นทุนในการก่อสร้างกุฏิหลังหนึ่งเป็นจำนวนเงิน ๕,๕๐๐ บาท ถวายเป็นเสนาสนะแด่สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (หม่อมราชวงศ์ชื่น นภวงศ์ สุจิตฺโต) เมื่อครั้งทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ จึงเรียกชื่อพระตำหนักแห่งนี้ว่า “พระตำหนักคอยท่าปราโมช” และมีเรื่องเล่าว่าในวันฉลองกุฏิ หม่อมเจ้าหญิงคอยท่า ปราโมช ทรงกราบทูลอาราธนา สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ (หม่อมเจ้าภุชงค์ ชมพูนุท สิริวฑฺฒโน) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มาประทับบรรทมเป็นปฐมฤกษ์ ๑ คืน
พระตำหนักคอยท่าปราโมช ถือว่าเป็นพระตำหนักที่สวยงดงามตามแบบสถาปัตยกรรมไทยผสมตะวันตก เป็นทรงตึกคอนกรีตเสริมเหล็กแบบสมัยใหม่ มีความสูง ๓ ชั้น หลังคาตึกออกแบบเป็นดาดฟ้าเทคอนกรีต โดยรอบอาคารออกแบบให้มีกันสาดคอนกรีตยื่นออกโดยรอบเหนือแนวหน้าต่าง เพื่อป้องกันแดดและฝน
-สิรินธร กับ หลวงปู่-
พระจริยาวัตรส่วนพระองค์ในสมัยที่ยังมิได้ทรงพระประชวรนั้น ทุกๆ วันเจ้าประคุณสมเด็จฯ จะทรงตื่นบรรทมแต่ก่อนสว่างเพื่อทำวัตรและนั่งภาวนา เมื่อสว่างแล้วจึงทำกิจส่วนพระองค์อื่นต่อไป โดยจะรับแขกที่มาเข้าเฝ้าในช่วงเช้าราว ๐๗.๓๐ น. ซึ่งพระองค์จะเมตตาให้พุทธศาสนิกชนทุกหมู่เหล่าทั้งไทยและต่างชาติ ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิดทุกคน หลังจากรับแขกแล้วจะเป็นเวลาเสวย ซึ่งทรงถือธุดงควัตรข้อหนึ่งคือเสวยมื้อเดียวมาโดยตลอด เว้นแต่ทรงพระประชวร สมัยก่อนบางครั้งมีผู้มาเข้าเฝ้าจำนวนมากจนทำให้เลยเวลาเสวย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งทรงเรียกเจ้าประคุณสมเด็จฯ ว่า “หลวงปู่”
ทรงเป็นห่วงในพระพลานามัยของเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงทรงมีลายพระหัตถ์เขียนป้ายบอกให้พุทธศาสนิกชนรอก่อนเมื่อถึงเวลาเสวย ซึ่งพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ที่เดินทางมาเข้าเฝ้ากราบนมัสการพระองค์ ณ “พระตำหนักคอยท่าปราโมช” คณะเหลืองรังษี วัดบวรนิเวศวิหาร คงจะเคยได้เห็นป้ายอันนี้ที่อยู่ชั้นล่างของพระตำหนักบ้าง เพราะได้ทรงลงพระนามกำกับไว้ด้วย ความว่า
“เมื่อถวายภัตตาหารแล้ว ขอเชิญท่านสาธุชนทั้งหลายลงคอยข้างล่างจนฉันเสร็จ ระหว่าง ๘.๐๐ น. - ๙.๓๐ น. สิรินธร ๒๙ เมษายน ๒๕๒๕”
-ไม่ได้ทำอะไรก็ช่วยคนได้-
ตามปกติที่ด้านหน้าพระตำหนักคอยท่าปราโมช อันเป็นพระตำหนักที่ประทับ จะมีบาตรของพระองค์ตั้งไว้ เพื่อให้สัทธิวิหาริกและอันเตวาสิกได้นำอาหารที่ได้รับบาตรมาจากประชาชน มาใส่บาตรถวายพระองค์ เป็นการทำอุปัชฌายวัตรและอาจาริยวัตร ดังนั้น เมื่อก่อนที่จะทรงรับแขก จะทรงนำอาหารจากบาตรของพระองค์ มาใส่บาตรพิเศษอีกลูกหนึ่ง ซึ่งทำด้วยหินอ่อน เพื่อให้ลูกศิษย์นำไปถวายบูชาพระพุทธชินสีห์ พระประธานในพระอุโบสถ
และในระหว่างที่เสวย จะทรงให้ลูกศิษย์อ่านข่าวในหนังสือพิมพ์ถวายทุกวัน เป็นเหตุให้ทรงรับทราบข่าวสารเหตุการณ์บ้านเมืองทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ในหลายครั้งจะทรงทราบข่าวความทุกข์ของประชาชนจากข่าว และทรงหาทางผ่อนคลายทุกข์นั้น อาทิเช่น เมื่อครั้งประเทศไทยประสบปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำในปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ ได้เสด็จโดยรถยนต์พระประเทียบออกไปรับบิณฑบาต จากประชาชนตามย่านตลาดหรือชุมชนในเวลาเช้า เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ประชาชนให้ต่อสู้กับปัญหาทางเศรษฐกิจ ประชาชนผู้มีวาสนาเหล่านั้นไม่ได้รู้ล่วงหน้ามาก่อนว่าจะเสด็จมารับบิณฑบาต ต่างพากันซื้อหาอาหารมาใส่บาตรพระองค์กันอย่างเนืองแน่น เป็นที่ปีติและปลาบปลื้มใจแก่พวกเขาเหล่านั้นอย่างไม่มีวันลืมเลือน
และมีเหตุการณ์น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง ในระยะแรกๆ เจ้าประคุณสมเด็จฯ ทรงรับแขก ณ ห้องรับแขก (ห้องกระจก)ใต้กุฏิไม้หลังใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าพระตำหนักคอยท่าปราโมช คณะเหลืองรังษี วัดบวรนิเวศวิหาร แต่ละวันจะมีประชาชนเดินทางมาเข้าเฝ้ากราบนมัสการเป็นจำนวนมาก ทรงสังเกตเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งมานั่งอยู่กับแขกที่มาเฝ้าโดยไม่พูดไม่จาอะไร เมื่อกลุ่มผู้มาเฝ้ากลับ เขาก็กลับด้วย เป็นเช่นนั้นอยู่หลายวัน
จนวันหนึ่งเมื่อโอกาสอำนวยเพราะมีคนน้อย เจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงถามเขาว่า “เออ ! มีธุระอะไรหรือเปล่า” ทั้งนี้เพราะเห็นเขามานั่งอยู่หลายวัน
ชายหนุ่มคนนั้นจึงเล่าถวายว่า เขาทำงานอยู่ท่าเรือแล้วตกงาน เพราะภาวะวิกฤต IMF กลุ้มใจมากไม่รู้จะทำอย่างไร บางวันก็เดินโต๋เต๋อย่างล่องลอย วันหนึ่งผ่านมาทางวัดบวรนิเวศวิหาร เห็นคนเขาเดินเข้ามาทางนี้ ก็เลยเดินตามเขามา เห็นพวกคนเข้ามากราบนมัสการเจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็เลยตามเข้ามานั่งอยู่ท้ายกลุ่ม มองดูพระพักตร์เจ้าประคุณสมเด็จฯ แล้วรู้สึกสบายใจ กระทั่งพวกคนกลับ ก็กลับ นับแต่วันนั้นมาก็รู้สึกว่าสบายใจขึ้น จึงมานั่งอยู่หลายวัน แล้วต่อมาก็ได้งานทำ ก็มีเท่านี้ล่ะครับ เขาเล่าจบก็กราบลาเจ้าประคุณสมเด็จฯ
หลังจากชายหนุ่มคนนั้นกลับไปแล้ว เจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็ทรงยิ้ม แล้วตรัสกับศิษย์ผู้สนองงานอยู่ขณะนั้นว่า “เออ ! ไม่ได้ทำอะไรก็ช่วยคนได้” แล้วก็ทรงพระสรวลเบาๆ
-ห้องรับแขกใหม่-
คราวหนึ่ง สมัยที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ ยังทรงดำรงสมณศักดิ์ ที่ พระสาสนโสภณ ได้เดินทางไปพำนักปฏิบัติสมาธิภาวนา ณ สำนักวัดป่าในแถบภาคอีสาน อยู่เป็นเวลานานถึงเกือบเดือน คณะศิษยานุศิษย์ได้ถือโอกาสนั้นทำการบูรณะชั้นล่าง ของพระตำหนักคอยท่าปราโมชเสียใหม่ โดยรื้อห้องเล็กๆ สองข้างที่ขนาบห้องกลางอยู่ให้ทะลุต่อกัน กลายเป็นห้องโถงโล่งตลอดทั้งชั้น พร้อมติดโคมไฟผนังและเพดาน ให้ดูสวยงาม สว่างไสว กว้างขวางเหมาะแก่การรับแขกทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อย โดยไม่ได้ทูลล่วงหน้าให้ทรงทราบก่อน
ในทันทีที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ กลับมาถึงพระตำหนัก เห็น “ห้องรับแขกใหม่” แทนที่จะทรงปลาบปลื้มยินดี กลับรับสั่งด้วยเสียงเรียบๆ ว่า
“สวยงามเกินไป ที่อยู่อาศัยของพระไม่ควรหรูหรา โคมไฟนี่ก็เกินจำเป็น ไม่ควรเอามาติดในที่อยู่อาศัยของพระ ควรรื้อเอาไปติดไว้ที่โบสถ์หรือวิหาร”
อ้างอิงข้อมูลจาก - www.dhammajak.net , www.web-pra.com






