เลิกทำร้ายหัวใจดวงน้อย..ด้วยความเชื่อผิดๆ!! ชี้..เอากบเขียดตบปากเด็ก นอกจากไม่ช่วยให้พูดได้เร็วขึ้นแล้ว อาจมีอันตรายมากกว่าที่คิด !!

ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th

              จากกรณีที่เป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ในสังคมโซเชียล จาก เพจ Drama-addict ได้โพสต์เกี่ยวกับ กรณีที่พ่อได้นำกบ มาตบปากลูก เนื่องจากลูกพูดช้า เพราะเป็นความเชื่อมาแต่โบราณว่า หากนำ กบมาตบปากแล้วจะทำให้ลูกพูดได้ โดยโพสต์ข้อความว่า 

เลิกทำร้ายหัวใจดวงน้อย..ด้วยความเชื่อผิดๆ!! ชี้..เอากบเขียดตบปากเด็ก นอกจากไม่ช่วยให้พูดได้เร็วขึ้นแล้ว อาจมีอันตรายมากกว่าที่คิด !!

เลิกทำร้ายหัวใจดวงน้อย..ด้วยความเชื่อผิดๆ!! ชี้..เอากบเขียดตบปากเด็ก นอกจากไม่ช่วยให้พูดได้เร็วขึ้นแล้ว อาจมีอันตรายมากกว่าที่คิด !!

ส่องกลุ่มนี้มีแต่เรื่องให้ตกใจทุกวัน ล่าสุดมีแม่มาโพสบอกประมาณว่าลูกพูดช้า พ่อเลยจับกบ กบ เกโระๆ อ๊บๆนั่นล่ะ มาตบปากลูกเพราะเชื่อว่าทำแล้วลูกจะพูดได้ ที่น่าตกใจคือ คอมเม้นทหลายๆเม้นในโพสนี้ก็เคยทำแบบนี้มาก่อน ตกใจสัสๆ

คือกรณีเด็กพูดช้า ควรพาไปหาหมอ ให้หมอตรวจพัฒนาการของเด็ก หรือตรวจว่าเด็กมีความผิดปรกติทางการได้ยินมั้ย ยิ่งรู้ไวยิ่งดีนะครับ จะได้กระตุ้นพัฒนาการหรือรักษาเด็กได้ ยิ่งช้าเท่าไหร่โอกาสที่เด็กจะพูดได้ก็น้อยลงเรื่อยๆ

และการเอากบเขียดจิ้งจกตุ๊กแกมาตบปากหรือให้เด็กอมเพราะโบราณเชื่อว่าทำแล้วเด็กจะพูดได้

เป็นความเชื่องี่เง่าไร้สาระ ที่ไม่เบสออนวิทยาศาสตรหรือหลักการห่าเหวใดๆทั้งสิ้นครับ ทำกันไปได้ยังไงวะเนี่ย เผลอๆเด็กจะกลัวจนเกิดปมกลัวกบเขียดพวกนี้ติดตัวไปจนโตด้วยนะ คิดว่าไม่มีอะไรเสียหายได้ไงนิ

          จากกรณีดังกล่าวก็มีหลายคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการกระทำดังกล่าว ต่างๆนานา อาทิ เช่น

เลิกทำร้ายหัวใจดวงน้อย..ด้วยความเชื่อผิดๆ!! ชี้..เอากบเขียดตบปากเด็ก นอกจากไม่ช่วยให้พูดได้เร็วขึ้นแล้ว อาจมีอันตรายมากกว่าที่คิด !!

เลิกทำร้ายหัวใจดวงน้อย..ด้วยความเชื่อผิดๆ!! ชี้..เอากบเขียดตบปากเด็ก นอกจากไม่ช่วยให้พูดได้เร็วขึ้นแล้ว อาจมีอันตรายมากกว่าที่คิด !!

เลิกทำร้ายหัวใจดวงน้อย..ด้วยความเชื่อผิดๆ!! ชี้..เอากบเขียดตบปากเด็ก นอกจากไม่ช่วยให้พูดได้เร็วขึ้นแล้ว อาจมีอันตรายมากกว่าที่คิด !!

เลิกทำร้ายหัวใจดวงน้อย..ด้วยความเชื่อผิดๆ!! ชี้..เอากบเขียดตบปากเด็ก นอกจากไม่ช่วยให้พูดได้เร็วขึ้นแล้ว อาจมีอันตรายมากกว่าที่คิด !!

            สำหรับความเชื่อที่มีมาแต่โบราณ คนเฒ่าคนแก่มักบอกว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ หรือทำตามสิ ไม่เห็นเสียหายตรงไหน หนึ่งในความเชื่อที่สั่งสอนกันมานาน คือ เวลาเด็กเล็กพูดช้าให้เอา "เขียดตบปาก" หรือ "กบตบปาก" โดยธรรมชาติ เมื่อคนเราจะพูด มันต้องมี "อารมณ์" และมี "คำศัพท์ในหัว" อวัยวะเด็กเองก็ต้องมี "ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อในการพูด" พร้อมๆ กับ "เหตุการณ์กระตุ้น" ที่มีแรงขับมากพอให้เด็กอยากออกเสียง เมื่อเอากบมาตบปากแล้ว… เด็กจะมีอารมณ์ "กลัว ขยะแขยง สนุก โกรธ" ซึ่งเป็นอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์บวกกับ "เหตุการณ์ที่มากระทบจนถึงขีดสุด" เด็กจึงเลือก "คำศัพท์" ที่เคยได้ฟังและจำได้ในหัวมาพูด เช่น "ไม่" "โอ๊ย" เป็นต้น แต่การเอาสัตว์ที่คลุกอยู่กับดิน กระโดดโลดเต้นบนโคลน มาถูกปากลูก ก็มีผลเสียที่ต้องระวัง

 

         นอกจากนี้ยังมีเรื่องของเชื้อโรคบนผิวหนังของกบ และสุขอนามัยของเด็ก เพราะกบเป็นสัตว์ที่กระโดดโลดโพนบนดินบนโคลน อาจมีเชื้อโรคมากมาย เมื่อนำมาตบปากเด็กอาจจะทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ส่งผลให้เกิดโรคภัยได้ ชาวเน็ตบางคนได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว เช่น

เลิกทำร้ายหัวใจดวงน้อย..ด้วยความเชื่อผิดๆ!! ชี้..เอากบเขียดตบปากเด็ก นอกจากไม่ช่วยให้พูดได้เร็วขึ้นแล้ว อาจมีอันตรายมากกว่าที่คิด !!

เลิกทำร้ายหัวใจดวงน้อย..ด้วยความเชื่อผิดๆ!! ชี้..เอากบเขียดตบปากเด็ก นอกจากไม่ช่วยให้พูดได้เร็วขึ้นแล้ว อาจมีอันตรายมากกว่าที่คิด !!

           ทั้งนี้ความเชื่อของคนโบราณ หลายๆ คาวามเชื่อเป็นสิ่งที่งดงาม มีกุศโลบายซ่อนอยู่ จนเกิดเป็นประเพณีดีงามสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน เพื่อคงไว้ซึ่งความกตัญญู ความศรัทธา ความสามัคคีในหมู่คณะ  แต่ความเจริญในสมัยก่อนที่วิทยาการยังเข้าไปได้ไม่ทั่วถึงนัก ทำให้หลายๆความเชื่อ ก็ขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของสุขอนามัย และหลักความรู้ เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้น หากความเชื่อใด ที่ก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี ไม่ว่าจะเป็นทางด้านร่างกาย หรือจิตใจก็ตาม  ก็ควรปรับความเข้าใจตัวเราเองเสียใหม่ ตลอดจนปรับความเข้าใจกับคนเฒ่าคนแก่ภายในบ้าน ด้วยความประณีประนอม สิ่งใดดีก็คงไว้ สิ่งใดอันตรายก็เลิกเสีย เพื่อความปลอดภัยของลูกหลาน ทั้งทางร่างกายและจิตใจ อย่าให้ความเชื่อผิดๆ มาทำร้ายคนที่เรารักอีกเลย

 

              

 

 

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : เพจ Drama-addict (https://www.facebook.com/DramaAdd)

                           https://th.theasianparent.com