ย้อนคดี "พิศวาสฆาตกรรม" แห่งประวัติศาสตร์ !! สู่ ฆาตกรรมอำพราง "ไอ้เก่งสุดโหด" ความโลภเข้าตาจนหมดค่าความเป็นคน !!

ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th

ย้อนคดี "พิศวาสฆาตกรรม" แห่งประวัติศาสตร์ !! สู่ ฆาตกรรมอำพราง "ไอ้เก่งสุดโหด" ความโลภเข้าตาจนหมดค่าความเป็นคน !!

         จากกรณีน.ส.นนทิญา ครัวจัตุรัส เจ้าพนักงานทันตสาธารณสุข หรือ “หมอปอ” โดนคนร้ายซึ่งเป้นว่าที่เจ้าบ่าวยิงเสียชีวิตคาบ้านพักในโรงพยาบาลสต.สลุย จังหวัดชุมพร ทราบชื่อต่อมาคือ นายรณชัย ปานชาติ หรือเก่ง เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้ยอบรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือบุกยิงว่าที่เจ้าสาว โดยที่ทั้งคู่กำลังฃจะเข้าพิธีวิววาห์ในวันที่ 24 ธันวาคมนี้

         ต่อมามื่อเจ้าหน้าที่ได้คุมตัวนายเก่งไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพโดยนายเก่งให้เหตุผลว่า ไม่อยากจะแต่งงานกับหมอปอแล้ว เนื่องจาก นายเก่งได้คบหากับสาวคนหนึ่ง ซึ่งมีฐานะที่ดีกว่า และสามารถเลี้ยงดูเขาได้ จึงตัดสินใจลงมือก่อเหตุสะเทือนขวัญในครั้งนี้

ย้อนคดี "พิศวาสฆาตกรรม" แห่งประวัติศาสตร์ !! สู่ ฆาตกรรมอำพราง "ไอ้เก่งสุดโหด" ความโลภเข้าตาจนหมดค่าความเป็นคน !!

          หากย้อนไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ในสังคมของเราก็มีการฆาตกรรมที่โด่งดังในสมัยนั้น นั่นก็คือ คดีนวลฉวี และเมื่อพูดถึงชื่อ "นวลฉวี" แล้ว หลายคนอาจจะเคยได้ยินข่าวดังของคดีนี้ที่เกิดขึ้นเมื่อกว่า 50 ปีมาแล้ว สำหรับ คดี "นวลฉวี" เป็นที่กล่าวขานอย่างมาก เนื่องจากเป็นคดีแรกที่หมอกลายเป็นฆาตกร อีกทั้งยังเป็นฆาตกรฆ่าภรรยาของตัวเอง แถมยังให้การและวางแผนได้อย่างแยบยลเลยทีเดียว 

          นวลฉวี เพชรรุ่ง เกิดเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2475 เกิดที่ลพบุรี ในครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างร่ำรวย ลูกทุกคนได้รับการศึกษาและมีการงานดีกันหมด ส่วนนวลฉวี ก็เป็นสาวรูปร่างผอมบาง ตัวเล็ก หน้าตาพอใช้ สอบติดพยาบาลที่ศิริราชพยาบาลและจบการศึกษาในปี 2497 จากนั้นเธอก็ประกอบอาชีพพยาบาลสถานพยาบาลยาสูบ จนกระทั่งไปเที่ยวทางเหนือและได้พบรักกับหมออธิป สุญาณเศรษฐกร ซึ่งขณะนั้นเป็นแพทย์อยู่โรงพยาบาลรถไฟ ซึ่งก็ได้ส่งจดหมายติดต่อกันเป็นระยะ ๆ จนทั้งคู่กลายเป็นสามีภรรยาทางพฤตินัย  

 

ย้อนคดี "พิศวาสฆาตกรรม" แห่งประวัติศาสตร์ !! สู่ ฆาตกรรมอำพราง "ไอ้เก่งสุดโหด" ความโลภเข้าตาจนหมดค่าความเป็นคน !!

           เรื่องราวความรักของทั้งคู่ดำเนินไปอย่างหวานชื่น แต่ก็ต้องมีจุดที่ทำให้แตกร้าว เนื่องจากหมออธิป มีผู้หญิงเข้ามาพัวพันมากมาย ทำให้นวลฉวีเองเกิดความรู้สึกหึงหวงหมออธิป  จึงแสดงความเป็นเจ้าของด้วยการไปนั่งเฝ้าหมออธิป ในที่ทำงาน และตามไปทุกหนทุกแห่งเหมือนเงาตามตัว ทำให้หมอ อธิป เริ่มรู้สึกรำคาญ แต่ในที่สุดหมออธิปก็ตัดปัญหาการถูกตามตัว ด้วยการจดทะเบียนสมรสกับนวลฉวี เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2502 
ต่อมาช่วงเช้าวันที่ 12 กันยายน 2502 เวลา 08.45 น. ก็มีคนพบศพนวลฉวีที่สะพานนนทบุรี ซึ่งเป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เชื่อมพื้นที่ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เข้ากับตำบลบางขะแยง อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานีโดยหลังจากนั้นศพก็ถูกส่งไปชันสูตรโดยด่วน ซึ่งผลการชันสูตรระบุว่า สาเหตุการตายเนื่องมาจากถูกแทงที่สีข้างข้างขวาและด้านหลังซ้าย รวม 3 แผล ก่อนที่จะสิ้นใจและถูกจับโยนทิ้งลงสะพานนนทบุรี ที่น่าสงสัยก็คือ แม้นวลฉวีจะถูกแทง 3 แผล แต่เสื้อผ้ากลับไม่มีร่องรอยฉีกขาด 
 
          และแน่นอนเมื่อนวลฉวีเสียชีวิตตำรวจก็มุ่งประเด็นไปที่หมออธิปทันที เนื่องจากก่อนหน้านี้มีปากเสียงกันบ่อย แต่หมออธิปตอบคำถามแบบสั้น ๆ ว่า เป็นนวลฉวีเป็นภรรยาของเขาจริง แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน หลังจากนั้นตำรวจก็สอบสวนหมออธิปอย่างละเอียด นอกจากนี้ยังพบรอยข่วนที่ข้อมือหมอ ซึ่งตำรวจก็ได้แจ้งข้อหาหมออธิปเอาไว้ก่อน แต่หมออธิปก็ยังปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่ได้ทำ แต่ในที่สุดแล้วก็จำนนต่อพยานหลักฐาน หมออธิป จึงถูกจับในข้อหาฆาตกรรม

ย้อนคดี "พิศวาสฆาตกรรม" แห่งประวัติศาสตร์ !! สู่ ฆาตกรรมอำพราง "ไอ้เก่งสุดโหด" ความโลภเข้าตาจนหมดค่าความเป็นคน !!

          อีกคดีที่สะเทือนขวัญและโด่งดังในประวัติศาสตร์นั่นก็คือ คดีของนายแพทย์บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ ที่จ้างวานฆ่าภรรยาของตนเอง นั่นก็คือ นางศยามล ลาภก่อเกียรติ ซึ่งเป็นคดีสะเทือนอย่างยิ่ง เมื่อพบร่างของหญิงสาววัย 30 ปี และพบเด็กสาวตัวน้อย นั่งร้องไห้กอดศพผู้เป็นแม่

           เมื่อเช้าตรู่ของ วันที่ 29 กันยายน 2536 ที่อ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี พระภิกษุที่กำลังออกบิณฑบาต พบรถเก๋งคันหนึ่งซึ่งจอดอยู่ริมถนนทางเข้าหมู่บ้าน ได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงร้องไห้ ออกมาจากรถคันดังกล่าว จึงทำให้พระภิกษุที่กำลังเดินบิณฑบาตได้มองเข้าไปในรถ และได้พบภาพสลดนั่นก็คือ ศพหญิงสาวอายุประมาณ 30 ปี อยู่บริเวณหลังเบาะรถ ทั่วร่างเปื้อนไปด้วยเลือด สภาพศพไรเสื้อผ้าปกปิด และยิ่งกว่า พบเด็กสาวตัวน้อย ซึ่งกำลังนั่งร้งไห้กอดศพใช้กระดาษทิชชู่ในมือ เช็ดคราบเลือดของผู้หญิงวัย 30 ปี ซึ่งเป็นแม่ของเด็กสาวตัวน้อยคนนี้ ซึ่งเป็นภาพที่สลดแก่ผู้พบเห็นอย่างยิ่ง 

           เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมายังที่เกิดเหตุ ก็พยาบยามอุ้มเด็กหญิงแยกออกมาจากศพ แต่เด็กก็ขัดขืนไม่ยอมห่างจากผู้เป็นแม่ จากผลชันสูตรศพ พบว่า ผู้ตายถูกแทงเสียชีวิต 3 แห่ง บริเวณลิ้นปี่ และหน้าอก เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง ทราบชื่อต่อมา คือ นางศยามล ลาภก่อเกียรติ อายุ 30 ปี เป็นเจ้าของร้านเสื้อบูติก ในจ.ประจวบฯ ซึ่งเป็นอดีตภรรยาของนายแพทย์บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ แพทย์ประจำโรงพยาบาลหัวหิน ซึ่งศยามลหย่าขาดไปเมื่อ 2 ปีก่อน ส่วนลูกของผู้ตาย มีชื่อเล่นว่าอิงอิง ในวันก่อนเกิดเหตุศยามลและเด็กหญิงอิงอิงก็ขับรถเก๋งออกจากบ้าน และไม่นานมีพยานรายหนึ่งยืนยันว่าเห็นรถเก๋งของนางศยามลวิ่งด้วยความเร็วสูงออกจากอำเภอหัวหิน ข้างในมีชายสามคนอยู่ในรถด้วย เมื่อญาติทราบข่าวนี้ก็เลยเข้าไปแจ้งความตำรวจไว้ แต่ไม่ทันกาลเพราะมารู้ที่หลังว่าศยามลกลายเป็นศพไปแล้ว

 

ย้อนคดี "พิศวาสฆาตกรรม" แห่งประวัติศาสตร์ !! สู่ ฆาตกรรมอำพราง "ไอ้เก่งสุดโหด" ความโลภเข้าตาจนหมดค่าความเป็นคน !!

            ต่อมาไม่นานนัก มารดาของศยามล นางซิวเหลียง แซ่เล้า ก็เดินทางเพื่อมารับศพของลูกสาว ก่อนเปิดเผยเรื่องราวความรักของศยามลและนายแพทย์บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ที่นำไปสู่โศกนาฏกรรมดังในครั้งนี้ เรื่องนี้เริ่มขึ้นเมื่อศยามลเกิดหลงรักกับนายแพทย์บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ที่โรงพยาบาลหัวหิน ทั้งสองแอบไปจดทะเบียนสมรสอย่างลับๆ เพื่อไม่ให้ครอบครัวสองฝ่ายรู้ และอยู่กินกันจนกระทั้งศยามลให้กำเนิด ด.ญ.อิงอิง ในเวลาต่อมา ครอบครัวของศยามลนั้นเป็นครอบครัวที่มีชาติตระกูลดีในสังคมท้องถิ่น ส่วนของ บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ นั้นก็เป็นครอบครัวที่มีฐานะที่เป็นที่นับถือตาในหัวหิน เมื่อรู้เรื่องของชายหญิงคู่นี้ ทางญาติผู้ใหญ่ของศยามลโกรธมากถึงขั้นให้เลือกว่า จะให้จะอยู่กับชายที่เธอรัก หรือจะเลือกญาติพี่น้อง

            ในที่สุดศยามลเลือกอย่างหลัง ศยามลหย่าขาดกับบัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์อย่างเป็นทางการ และมีการเรียกร้องเงินจำนวนถึง 2 ล้านบาทจาก น.พ. บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ เป็นค่าเลี้ยงดู ด.ญ.อิงอิง แน่นอนตอนแรก น.พ. บัณฑิต ไม่เห็นด้วยเพราะทำให้ขาดผลประโยชน์ในเรื่องมรดกจากครอบครังของศยามล แต่จำต้องหย่าเพราะโดนบังคับ หลังการหย่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นางศยามลเปิดร้านขายผ้าบูติกที่ตลาดหัวหิน เวลาต่อมา นางศยามลทราบข่าวว่า น.พ. บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์กำลังจะแต่งงานกับแพทย์หญิงในโรงพยาบาลเดียวกับที่ทำงาน เรื่องนี้ทำให้ศยามลยอมไม่ได้เลยใช้วิธีการหลายอย่างเพื่อให้แฟนใหม่ของอดีตสามีวางตัวลำบาก ไม่กล้าแต่งงานด้วย จนเรื่องเริ่มตึงเครียดถึงขั้นข่มขู่กันว่าถ้าศยามลไม่ออกไปจากหัวหิน จะต้องมีเรื่อง ด้วยความดื้อดึงของนางศยามลไม่ยอมย้ายตนเองออกไปจากหัวหินตามคำข่มขู่ ทำให้ น.พ.บันทิตทำอะไรไม่ออก และไม่กล้าทำอะไรกับศยามลขั้นเด็ดขาดมากนัก เพราะญาติผู้ใหญ่ของเธอบางคนมีหน้ามีตาในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พี่ชายของเธอเป็นอดีตผู้กว้างขวางของเขต อ.ปราณบุรีกุยบุรี มีอิทธิพลกว้างไกลเป็นที่รู้จักกันดีในวงการ “เจ้าพ่อ” ที่มีระดับ

           เรื่องของคนทั้งสองคาราคาซังเรื่อยมา จนกระทั้งมาถึงวันที่ 28 กันยายน 2535 วันนั้นมีโทรศัพท์มาหาศยามล ปลายสายเป็นของ น.พ. บันทิต เขาบอกว่าจะรับตัวศยามลไปดูบ้านพักสร้างใหม่เป็นของขวัญให้เธอกับลูก ขอเพียงให้เธอมาหาเขาแต่ห้ามบอกใครว่าเธอจะไปไหน ทันทีที่ศยามลวางสาย แม้เธอไม่บอกใครว่าจะไปไหน แต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นคือ น.ศ.ปาริชาติ ลาภก่อเกียรติ รู้ดีว่าศยามลจะไปหาสามีเก่า จากนั้นรถเก๋งของนางศยามลก็ออกจากร้าน เธอไม่กลับมาอีกเลย..

           คำให้การของบรรดาญาติพี่น้องของศยามล ล้วนมุ่งแต่ตัวของ น.พ.บันทิต ว่าเขาน่ามีส่วนรู้เห็นในการฆ่าสยามล โดยเฉพาะคำให้การของมารดาศยามลยืนยันว่าศยามลไม่เคยมีเรื่องบาดหมางให้ใครเจ็บแค้นถึงขั้นอยากฆ่ามาก่อน นอกจากกรณีของ น.พ. บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ นั้นแหละที่อยากให้ศยามลหายไปจากโลกนี้
หลังจากตำรวจประมวลผลจากหลักฐานที่พบแล้ว ตำรวจเชื่อว่า นี้เป็นคดีฆาตกรรมอำพลางเพื่อให้ตำรวจหลงประเด็นว่าเป็นการข่มขืนและฆ่าและชิงทรัพย์ ดังนั้นผู้ต้องสงสัยในขณะนั้นมีเพียงคนเดียวคือ น.พ. บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์

            จากการสืบสวนของตำรวจกินเวลานานกว่าครึ่งเดือน จนถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2536 มีความคืบหน้าเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมีหลักฐานมากพอที่จะมัดตัวหนึ่งในผู้ต้องหาร่วมกันฆ่านางศยามลได้เป็นคนแรก คือ ส.ต.อ.แผ่ว ภูเต็ง เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 14 สังกัดค่ายพระมงกุฎเกล้า จ.ประจวบคีรีขันธ์ ถูกจับกุมตัวในขณะที่เดินทางมาขึ้นศาลจังหวัดเพชรบุรี และสิ่งที่ตำรวจสนใจมากว่า ส.ต.อ.แผ่ว ว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวของกับคดีศยามลคือ ภรรยาของ ส.ต.อ.แผ่ว ชื่อนางตา ภู่เต็ง อดีตนางพยาบาลและมีความสนิทกับนายแพทย์บัณฑิตเป็นอย่างดี เข้ามาหาสู่เป็นประจำ อีกทั้งส.ต.อ.แผ่ว ยังติดหนี้นายแพทย์บัณฑิตเรื่องขอให้หมอมาเป็นพยานในการตรวจและออกใบรับรองแพทย์ในศาลของคดียิงปืนขึ้นฟ้ากลางงานเลี้ยงส่งเจ้าหน้าที่ชลประทาน เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2534

           วันที่19 ตุลาคม 2536 มีการจับกุมผู้ต้องหารายที่สอง เมื่อเจ้าหน้าที่ตามจับ นายบรรจบ นิลห้อย อดีตนักข่าวหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นจังหวัดเพชรบุรี เพื่อนของ ส.ต.อ.แผ่ว ที่ชายแดนประเทศมาเลเซีย มีพยานหลายปากยืนยันว่าผู้ต้องสงสัยรายนี้ติดรถไปกับปิกอัพขับตามรถของศยามลในคืนที่เกิดเหตุ ซึ่งหนีจากการจับกุมของตำรวจได้หลังจากได้ยินข่าวของ ส.ต.อ.แผ่ว เพียงวันเดียว นายบรรจบ นิลห้อย กลายเป็นกุญแจสำคัญที่จะเอาผิดผู้บงการ เขาต่างจาก ส.ต.อ.แผ่ว เพราะเขาสารภาพตลอดข้อกล่าวหา และให้การรับสารภาพทั้งหมด จนตำรวจสามารถออกหมายจับ นายแพทย์ บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ในที่สุด

         

          ท้ายที่สุดแล้วทั้งสองคดีที่โด่งดังในประวัติศาสตร์ปมเหตุมาจาก เรื่องของความหึงหวง จนเป็นเหตุให้เกิดพิศวาสฆาตกรรมขึ้น แต่ในเหตุของ หมอปอและนายเก่งที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้ เป็นการก่อเหตุเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ความเห็นแก่ตัวในสำนึกของความเป็นมนุษย์ ทำให้เกิดความโลภ จนมาถึงการก่อเหตุสะเทือนขวัญในที่สุด