หนุ่มน้อย 10 ขวบ พลัดตกลงไปในท่อลึก 35 เมตร ใจคอไม่ดีหลัง จนท.หย่อนน้ำลงไป

ทั่วโลกเอาใจช่วย ภารกิจช่วยเด็กชายวัย 10 ขวบ พลัดตกลงไปในท่อลึก35 เมตร สัญญาณไม่ค่อยดีหลังจากเจ้าหน้าที่หย่อนน้ำลงไป

เด็กชายวัย 10 ขวบ พลัดตกลงไปในท่อลึก35 เมตร ใจคอไม่ดีหลัง จนท.หย่อนน้ำลงไป เวลาผ่านไปกว่า 2 วันแล้ว หลังจากที่มีรายงานว่า เด็กชายวัย 10 ขวบ พลัดตกลงไปในท่อลึก35 เมตร ขณะเข้าไปเก็บเศษเหล็กที่ไซท์งานที่กำลังก่อสร้างสะพานกับเพื่อน ตั้งแต่วันเสาร์ ซึ่งล่าสุด นายกรัฐมนตรีเวียดนาม สั่งการให้เร่งช่วยเด็กชายคนดังกล่าว และทางเลือกที่เป็นไปได้ก็คือต้องใช้วิธีดึงท่อขึ้นมา 
 

โดยนายกรัฐมนตรีฝั่ม มิญ จิ๊ญ ของเวียดนาม ได้สั่งให้เร่งช่วยเหลือเด็กชายวัย 10 ขวบ ที่พลัดตกลงในท่อคอนกรีตลึก 35 เมตร แต่มีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 25 เซ็นติเมตร ขณะเข้าไปเก็บเศษเหล็กกับเพื่อนอีก 3 คน ที่ไซท์งานก่อสร้างสะพานร็อค เซน (Roc Sen) ในเขตบิ่ญจั๊ญ จังหวัดด่งท้าบ ตั้งแต่บ่ายวันเสาร์ 


การกู้ภัยได้เกิดขึ้นทันที มีตำรวจกับเจ้าหน้าที่ดับเพลิงและคนงานรวมกันหลายร้อยคน ทั้งยังระดมรถขุด รถเครนและสว่านขนาดใหญ่ มีการนำถังออกซิเจนจำนวนมากเข้าไปช่วยให้เด็กหายใจ รวมทั้งส่งน้ำลงไปให้ แต่ตั้งแต่เช้าวันอาทิตย์กลับไร้สัญญาณบ่งชี้่ว่าเด็กกินน้ำ ทำให้ทีมกู้ภัยตัดสินใจที่จะช่วยด้วยการยกเอาท่อคอนกรีตขึ้นมา โดยการปั๊มน้ำลงให้ดินโดยรอบนุ่มขึ้น

 
แต่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงจากนครโฮจิมินห์ ที่มีประสบการณ์ในการช่วยคน ที่ติดอยู่ใต้ดินลึกหลายร้อยเมตร ให้ความเห็นว่า เคสของเด็กชายมีความซับซ้อนมาก เพราะเขาติดในท่อที่แคบเกินกว่าเจ้าหน้าที่จะปีนลงไปได้ เหลือเพียงทางเดียวคือต้องดึงท่อขึ้นมา 

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ออกคำสั่งให้มีความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและการประสานงานระหว่างกระทรวงต่างๆ เพื่อเร่งการกู้ภัย โดยเฉพาะคณะกรรมการประชาชนจังหวัดด่งท้าบ ให้ทำงานร่วมกับหลายหน่วยงานในการระดมทรัพยากรทั้งหมดเท่าที่มี รวมทั้งอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับงานกู้ภัย เพื่อให้แน่ใจว่า จะมีความคืบหน้า รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ 

 


อย่างไรก็ตาม เขายังสั่งให้บรรดารัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม, กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ, กระทรวงขนส่ง, และกระทรวงก่อสร้าง ระดมผู้เชี่ยวชาญและผู้มีประสบการณ์เข้าสนับสนุนการกู้ภัย ทั้งยังสั่งให้ตรวจสอบมาตรการรักษาความปลอดภัยของโครงการ ร็อค เซน และใช้มาตรการลงโทษถ้าพบว่ามีการละเมิด

ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Thainewsonline